วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

~ พาคุณย่า ไปนั่งรถไฟ Airport Rail Link ~









........ เห็นว่ารถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ยังมีวิ่งบริการฟรีอยู่ แถมเปิดสถานีเพิ่มอีกสามสถานี ได้แก่สถานี รามคำแหง , หัวหมาก และสถานีลาดกระบัง ก็เลยพาคุณย่ามูวี่ กับพี่เลี้ยง นก ไปนั่งรถไฟด้วยกัน ก็ชวนมาค้างที่บ้านคืนนึง แล้วก็ไปกันแต่เช้า เสียดายว่าเวลามีน้อยไปหน่อย ก็เลยไม่ได้ทานข้าวที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่มาแวะทานก๋วยเตี๋ยวเรือที่ร้านหน้าสถานีรถไฟฟ้าพญาไท แทน เห็นว่าเป็นร้านเปิดใหม่ เพิ่งเปิดวันที่พวกเราไปนั่งรถไฟกันพอดีเลยครับ ช่างบังเอิญเสียจริงๆ รสชาติอร่อยด้วยนะครับ ใครผ่านไปเส้นแถวนั้นก็แนะนำเลยครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน

........ แม้ว่าจะจอดเพิ่มอีกสามสถานี แต่รถไฟฟ้าแอรพอตลิงค์ ก็ยังทำเวลาได้ดีทีเดียวครับ ประมาณ 20 นาทีเช่นเคยครับ สังเกตุว่าผู้มาใช้บริการค่อนข้างหนาตากว่าที่เคยมาขึ้นครั้งแรก แล้วก็มีนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติ และชาวไทย มาใช้บริการกันพอสมควรครับ แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มาทดลองนั่งกันซะมากกว่า ท่านใหนที่ยังไม่เคยไปใช้บริการก็ขอแนะนำนะครับ มีวิ่งทุกวันธรรมดา งดวันหยุดราชการ และวิ่งตั้งแต่ช่วง 7 - 10 โมง ช่วงเย็นก็ตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มครับ อย่าไปเวลาอื่นนะครับ เด๋วจะไปเก้อ มีภาพให้ชมกันพอหอมปากหอมคอนะครับ ชุดที่เหลือๆเด๋วจะกระจายไปโพสท์ไว้ที่อื่นบ้าง

www.pandagroup.pantown.com

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

~ แวะเที่ยว สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ไม่แหล่มอย่างที่คิด ~
























..... สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปเที่ยวศรีราชากันมา มีจุดประสงค์เพื่อไปเชียร์บอล ทีมเชียงราย ยูไนเต็ด เตะกับจ่าฝูง ศรีราชาเอฟซีครับ บอลก็สนุกดีครับ แม้จะแพ้ไป 0 - 3 แต่สู้กันได้ครับ ได้เจอเพื่อนๆน้องๆพี่ๆแฟนคลับเชียงรายด้วยกันเยอะแยะเลยทีเดียว แต่ผลจากวันนั้นก็เล่นเอากลับมาเดี้ยงครับ เพราะคออักเสบ และก็เป็นหวัดด้วย เพราะตากฝนเชียร์บอล แต่ไม่เข็ดครับ วันนี้จะไปเชียร์เตะกับราชประชาที่ ยามาฮ่า สเตเดียมกันอีกครับ อ้อ ลืมเล่า ในภาพเป็นการแวะไปเที่ยว สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ทางผ่านไปศรีราชาครับ ค่อนข้างน่าผิดหวังครับ ไม่ค่อยมีอะไร ค่าชม ค่าโชว์ก็แพงเกินไป แต่ไม่สมราคาครับ สัตว์ก็ค่อนข้างหยิ่ง ถ่ายภาพสวยจริง แต่เข้าไปชมแล้วไม่ประทับใจครับ สู้สวนสัตว์เปิดซาฟารีปาร์ค ที่บ่อพลอย เมืองกาญจน์ ไม่ได้เลยครับ

www.pandagroup.pantown.com

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

# บางระจัน ๒ ... แผ่นดินของใคร สู้เพื่ออะไร นวัตกรรมทำซ้ำ กับ วาทกรรมลวงโลก !! #


บางระจัน ๒ ( สองดาว )

......................พุทธศักราช ๒๓๑๐ แผ่นดินผืนที่พวกเรากำลังยืนหยัดใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้ ยังมิได้มีความเป็นรัฐชาติแต่อย่างใด ยังคงเป็นสภาพของหัวเมือง แว่นแคว้น และขาดความเป็นปึกแผ่น ใครมีอำนาจก็ยึดครองกันไป เปลี่ยนโอนถ่ายอำนาจกันไปเรื่อยๆ แล้วแต่ความสามารถของผู้นำ ในแว่นแคว้นใหนๆก็ว่ากันไป เท่าที่ผมได้ศึกษามา ผมเชื่อว่า ผู้นำหัวเมืองแต่ละแห่งที่ทำการสู้รบ ขยายแผ่อำนาจออกไป ก็เพื่อความเป็นใหญ่ของตัวเองเท่านั้น มิได้ห่วงหรือมีจุดประสงค์จะเข้าไปครอบครองทุกผืนแผ่นดินในส่วนที่ตัวเองมีอำนาจอยู่แต่อย่างใด เพราะว่าในสมัยนั้น ประชากรแต่ละแห่งก็มีน้อย การเดินทางไปแต่ละแห่งหนก็ทำได้ลำบาก เพราะฉะนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะควบคุมทุกตารางเมตรให้อยู่ในอาณัติของตัวเองทั้งหมด ดังนั้นจึงมีคำว่า ประเทศราช หรือ ประเทศในอาณานิคมให้ได้ยินกันอยู่เนืองๆ ซึ่งมันก็คือการให้สิทธิในการปกครองตัวเอง โดยให้มีการส่งส่วยหรือเครื่องราชบรรณาการมาเป็นพิธีเท่านั้น ส่วนใครจะสู้รบกัน ก็เพื่อเป็นการโชว์ศักดิ์ศรีแค่นั้น

......................บ่อยครั้งที่พวกเราดูหนังแนวรักชาติ ทำนองเนี้ย เคยสงสัยใหมครับว่า ที่เราเห็นในหนังอยู่เสมอๆเนี่ย มันคือบทสนทนาที่มีโอกาสน่าจะเคยเกิดขึ้นจริงเท่าไหร่กันเชียว ? เพราะทุกอย่างล้วนผ่านการปรุงแต่ง เหมือนตำราเรียนของประเทศเรา ที่ผ่านกระบวนการยัดเยียดมามากมาย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่างของผู้เขียน ? บรรพบุรุษของเรา พยายามถ่ายโอด ลัทธิความเกลียดชังกันเองที่มีอยู่ในสายเลือดเผ่าพันธ์ไทย ด้วยการโยนความเกลียดชังไปให้ประเทศ พม่า เพื่อนบ้านใกล้ชิดของเราแทน !! เชื่อใหมครับ ว่าแม้แต่คนมีการศึกษาจำนวนมาก ถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีความเกลียดชังลึกๆต่อคนชาติพม่า โดยมีความคิดฝังหัวว่า พวกพม่าเข้ามาเผาบ้านเมืองเรา ? ทั้งที่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์บางแหล่งยืนยันได้ว่า จริงๆแล้วซากที่อยุธยา แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่เกิดจากการเผาเมืองของพม่าด้วยซ้ำไป !! น่าเสียดายที่คนไทยไม่นิยมการเขียน และไม่ค่อยเก็บหลักฐานทางประวัติศาสตร์กันไว้อย่างดีเหมือนต่างชาติ ทำให้ลูกหลานเราต้อง " จิ้น " กันเอง !!

......................ตลกร้ายหรือเปล่า ที่พวกเราชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง ที่สมัยโบราณเค้าเรียกกันว่า " ไพร่ " กลับถูกพวกชนชั้นสูงในอดีตมอมเมาให้ยึดติดกับอะไรบางอย่าง ด้วยการสร้างคำเก๋ๆเช่น " รักชาติ " และรักอะไรต่อมิอะไร ? หวงแหนแผ่นดิน แผ่นดินของใคร ? สู้เพื่อชาติ ประทานโทษครับ ในเมื่อสมัยนั้นยังไม่มีชาติไทย ยังไม่มีแผ่นดินไทย แล้วจะมาอ้างสวยหรูว่าสู้เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินได้อย่างไร ประชาชนคนรากหญ้าสมัยนั้นล้วนถูกจูงจมูกให้ไปตาย โดยอ้างความเชื่อโบราณ และความไร้การศึกษา การขาดภูมิความรู้โดยแท้ !! ถ้ามีการให้ความรู้ และสอนให้เค้ารู้จักหวงแหนชีวิต หรือแม้แต่หวงแหนครอบครัว พวกเค้าก็คงไม่ต้องไปตาย ตายอย่างไร้ค่า ? น่าตลกที่หลายต่อหลายคนยอมทิ้งบ้าน ทิ้งครอบครัว ตามแห่ไปรบทั้งๆที่รู้ว่าต้องไปตายอย่างไร้จุดหมาย นั่นคือชะตากรรมของมนุษย์ตัวเล็กๆที่ขาดโอกาสใช่ใหม ? เปล่าครับ เค้ามีโอกาส แต่เค้าเลือกที่จะสละมันไป เพียงเพื่อใครก็ไม่รู้ !! ในท้องเรื่อง บางระจัน ๒ เป็นช่วงที่กรุงศรีแตกแล้วนะครับ

......................ชาวบ้านบางระจัน หรือชาวบ้านอื่นไม่เหมือนคนในเมืองนะครับ ในยุคสมัยนั้นเขาก็แค่ดำรงชีวิตของเขาไป ถ้าเมืองใหนเกิดมีการต่อสู้ ก็อาจจะมีการมาเกณฑ์ผู้คนออกไปทำศึก ถ้าไม่อยากก็ต้องหาทางหลบเลี่ยงกันไป การรบชนะหรือแพ้ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับชาวบ้านเลยแท้ๆ คนที่จะมีผลก็คือพวกคนในเมืองเท่านั้น รวมถึงพวกที่มีอำนาจอยู่ !! เพราะงั้นผมถึงมองว่า ชาวบ้านบางระจันอย่างในหนัง เรื่องอะไรจะต้องมายอมเสี่ยง เพื่ออะไรก็ไม่รู้ หลายคนมีภาระหน้าที่ มีคนต้องดูแล มีครอบครัว มีลูกกำลังจะเกิด แล้วจะให้ออกไปตายเนี่ยนะ ? ถามจริง คนที่มีความรู้ มีสมอง ... ถ้าตอนเกิดม๊อบป่วนเมือง ยิงเอ็ม 79 กันตูมตาม คุณจะออกไปเดินเล่นใจกลางเมือง หรือบริเวณที่เค้ามีการยิงแบบใช้กระสุนจริงหรือเปล่าครับ ? ฉันใดก็ฉันนั้น การที่มีตัวละครชาวบ้านแบบที่เห็นในหนัง วิ่งเข้าไปตาย .. ผมมองได้อย่างเดียวว่า ไม่บ้าก็โง่ครับ น่าเสียดายถึงแม้จะเป็นชีวิตของคนตัวเล็กๆ แต่สำหรับผมมันก็มีความหมายไม่แพ้การตายของคนชั้นสูงนะครับ !! ผมคิดว่าชีวิตมนุษย์เท่าเทียมกัน หรือคุณคิดว่าไม่ครับ ตอบผมหน่อย ??

......................ภราดร ศรีชาพันธ์ อดีตนักเทนนิสระดับโลกคนเดียวของไทย กับบทบาทพระเอกหนังครั้งแรกคราวนี้ และอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ก็ถือว่าทำได้ดีพอประมาณครับ โชว์บู๊และซีนอารมณ์อยู่หลายฉากหลายตอน ขโมยความเด่นไปคนเดียว ส่วนตัวรองอย่าง บ่าววี หรือ ภูริ ก็พอได้บทบาทไปตามสมควร น่าเสียดายก็แต่หนังใช้นักแสดงเก๋าอย่าง ฉัตรชัย ไม่คุ้ม รวมถึง หนุ่มต๊อบ ชัยวัฒน์ ก็มาเล่นสมทบแบบไม่ค่อยมีความสำคัญอะไร !! ตัวละครหญิงในหนังดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินมากกว่า หนังมาด้วยสูตรสำเร็จ และขายความรักชาติอุดมคติแบบซ้ำซาก ผิดกาลเทษะ จนไม่แปลกใจที่หนังจะเจ๊งสนิทในการเข้าฉาย ? เสียดายที่หนังน่าจะใช้ความอินเทรนด์เรื่องการแตกแยกของคนในชาติ รวมถึงการสู้รบระหว่างคนเมือง กับ คนบ้าน รวมถึงยกระดับการต่อสู้ให้เป็นเรื่องการแตกต่างทางความคิดของชนชั้น หรือการปะทะกันระหว่างอำมาตย์กับไพร่ บางระจัน ผมว่าหนังจะดูดีขึ้นกว่านี้อีกเป็นกอง เพราะหนังมีแนวโน้มว่าทำได้ด้วย ก่อนจะหาทางลงแบบ เซฟตัวเอง อย่างเดิมๆ พูดก็พูดเหอะ ผมมองไม่ออกเลยว่า ชาวบ้านบางระจัน จะตามคนเมืองไปตายเพื่ออะไร ?

http://www.pandagroup.pantown.com/

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

= 32 ธันวา .... หนังที่ดีพอ หรือว่าหนังที่พอดี ? =

32 ธันวา ( สองดาวครึ่ง )

......................เมื่อคืนนอนไม่หลับ ก็เลยหยิบหนัง 32 ธันวามาดู จริงๆก็กลับมาจากเชียงรายเป็นเดือนแล้ว แต่หนังที่ซื้อมาหลายแผ่นก็ยังดูไม่ครบเลย และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหลายๆเรื่องที่ยังไม่มีโอกาสได้ชม เอาล่ะ ใหนๆก็ใหนๆแล้ว เปิดดูสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย แต่กะไว้แล้วว่าหนังก็คงธรรมดาๆ ก็พอดูจบก็เหมือนอย่างที่คิดไว้ อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมหนังของ ยอร์ช ฤกษ์เพชร หรือพวงเพช็ร อะไรเนี่ย ถึงได้ทำเงินมากมายหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งๆที่หนังส่วนใหญ่ของแกก็ไม่เห็นจะดีเด่อะไร คือว่า จริงๆมันก็ไม่ดีไม่เลวอ่ะครับ คุณภาพระดับกลางๆ เพราะอะไรถึงได้ถูกใจตลาดคนดูบ้านเรา ? เทียบกับหนังที่ฉายในเวลาไล่เลี่ยกันอย่าง บังเอิญ รักไม่สิ้นสุด หรือ อยากได้ยินว่ารักเธอ เรื่องหลังๆนี่ยังน่าสนใจและทำได้ดีกว่าเลยครับ !! เพราะอะไรหนังตลกในสไตล์ของคุณยอร์ช ถึงได้โกยเงิน เป็นเรื่องที่ฝ่ายการตลาดน่าทำการศึกษาและขบคิดเป็นอย่างยิ่ง ??

......................32 ธันวา ก็เป็นหนังโรแมนติก คอมเมดี้ ประเภทที่อาศัยมุขต่อมุข อาศัยเสน่ห์ดารามาขับเคลื่อนเรื่องราว ทั้งเรื่องมีแต่การพยายามใช้ภาษา และคำคมสละสลวยๆมายิงกันเป็นช็อตๆ แต่ส่วนใหญ่ผมก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะโดนตรงใหน ? พูดก็พูดเหอะ ช่วงเวลาดีๆก็เห็นในตัวอย่างหนังไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ไม่เห็นมีอะไรฮา หนังใช้ตัวละครยังไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะสาวเชียงใหม่ โผล่แค่นั้นจริงดิ่ ? และดารานำอย่างแดน ก็ไม่มีเสน่ห์เลยครับในสายตาผม สายป่านเหมือนจะพอเอาตัวรอดไปได้คนเดียวของหนัง ? หนังไม่มีอะไรเซอร์ไพร๊ซ์ แล้วก็เล่นเล่าแบบง่ายๆตามสูตร แทบไม่ต้องเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากเล่นไปทีละฉาก ที่ผมชอบมากก็คือ ฉากสมทบขโมยซีนของคุณจตุรงค์ กับ โก๊ะตี๋ ซึ่งนั่นก็คือการเล่นมุขแบบพรสวรรค์ หรือความสามารถเฉพาะตัว ไม่ได้มาจากการเขียนบทแต่อย่างใด !! งานพรอป และของประกอบฉาก หาของเว่อร์ไปหน่อยหรือเปล่าครับ

......................บางทีผมว่าการที่หนังทำเงินมันก็ไม่ได้แปลว่าหนังมันดีหรอกครับ เราไม่รู้หรอกว่า ไอ้ที่ดีๆที่คนส่วนใหญ่ต้องการมันเป็นไง บางครั้งคนดูหนัง เค้าก็เลือกดูหนัง จากไอ้ที่เค้าคิดว่าพอใจนั่นแหละครับ มันไม่ใช่เป็นหนังดีเด่อะไรหรอก ก็แค่เขาพอใจ หรือเป็นหนังที่พอดีสำหรับเค้า ซึ่งแน่นอนว่า พอดีสำหรับคนส่วนใหญ่ ก็อาจจะไม่ได้พอดี หรือดีพอสำหรับเรา ?? ถ้าเราอยากได้ไอ้หนังที่มันพอดีสำหรับเรา เราก็ต้องหมั่นสอดสายตาเลือกหาหนังประเภทที่เราคิดว่ามันน่าจะพอดีกับเรา ไปดูเรื่องนั้นซะ มันก็จบ โอกาสผิดหวังมันก็น้อย สำหรับคนที่ผ่านโลก ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร จะให้มาดูหนังลัลล้า อะไรแบบนี้ พูดตรงๆ ขอเหอะครับ ไร้สาระ แล้วมุขประเภทหาคำคมๆมาใส่เป็นตัวอักษรวิ่ง ดูในโรงก็โอนะ แต่ดูแผ่น ขอประทานโทษ อ่านแทบไม่ออก มึงก็ว๊อยส์โอเว่อร์มาเลย ง่ายกว่าใหม ? แล้วถ้าจะคิดอะไรคมๆ ก็ขอให้มันคมจริง ถ้าคมไม่จริง มันก็จะดูเสี่ยวนะครับ ผมว่า .. แต่ยังไงก็ยังพอมีมุขให้ขำๆได้นิดหน่อยพอหอมปากหอมคอครับ

www.pandagroup.pantown.com

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

~ ไอ้ขาว .... หมาเฝ้าบ้าน ที่ใกล้จะกลับมาอยู่ด้วยกัน !! ~

....................เมื่อวันก่อนแวะไปเยี่ยมบ้านบางบัวทอง ขนดิน ขนอิฐ ขนไม้กวาด ไม้ถูพื้นแล้วก็ไปปัดๆกวาดๆนิดหน่อย ขนข้าวของมานิดหน่อย ถือโอกาสไปเยี่ยมไอ้ขาวด้วย ไอ้ขาวเฝ้าบ้านอยู่ตัวเดียว มีลุงใฝมาปล่อยวิ่งช่วงค่ำๆ คงจะเหงาน่าดู เพราะบางบัวทองปกติก็จะเงียบอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีคนอยู่ในบ้านด้วย ก็ยิ่งทำให้เงียบเหงาไปถนัดใจ ไอ้เล็ก ไอ้นุ๊กก็ตายไปหลายเดือนแล้ว ถ้าเป็นเราต้องอยู่เฝ้าบ้านตัวเดียวไม่มีเพื่อน ไม่มีคนอยู่ เราเองก็คงเหงาพิลึกเลยนะครับ ?

....................สังเกตุจากพฤติกรรมไอ้ขาวดูจะ เชื่องไปพอสมควรครับ แต่ก็ไม่แน่ใจ ต้องผูกโซ่ไว้อยู่ถ้าคลาดสายตา เด๋วจะเผลอปีนรั้วออกไปนอกบ้านอีก วุ่นวายกับการตามจับกลับเข้ามาในบ้าน ซื้อแท่งเคี้ยวแบบแผ่นๆจากหน้าหมู่บ้านไปฝาก แล้วก็นมขวดกลางอีกขวดนึง เพราะรู้ว่าขาวชอบกินนม โทรไปตามลุงใฝมาคุยเรื่องคนตัดไม้แล้วก็เรื่องบ้าน หาคนมาเตรียมทาสีให้ อีกหน่อยบ้านนี้ก็คาดว่าจะทำความสะอาดอย่างดี บูรณะใหม่ แล้วก็ปล่อยให้เช่าน่ะครับ คงไม่มาอยู่

....................ใครสนใจบ้านในภาพ ก็ติดต่อ กริ๊งกร๊างมาได้นะครับ หรือเข้าไปถามรายละเอียดในเวป pandagroup.pantown.com ได้นะครับ นี่ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเก็บราคาค่าเช่าบ้านเท่าไหร่ นึกๆอยู่ว่า ถ้าคนเช่ารับเลี้ยงหมาแถมด้วย ก็จะคิดราคาพิเศษ ลดให้ต่างหาก เพราะคิดว่าไอ้ขาวมันคงจะอยากอยู่บ้านนี้ ไม่อยากไปใหนหรอก ตอนมา ก็คงจะมีคนมาปล่อยแถวนั้น แล้วมันก็เลือกเองที่จะมาอยู่บ้านเรา ปีนรั้วเข้ามา ถ้าเป็นหมาธรรมดาคงมุดเข้ามาไม่ได้

....................ไอ้ขาว แก่ลงไปเยอะ ฟันหน้าก็หักไปซี่นึง พอเห็นเรามันก็ดีใจวิ่งเข้ามาอ้อน มาเอาหน้า เอาหัวถูๆไถๆกับเนื้อตัวเรา วันก่อนที่มูวี่มา มันก็ยอมให้มูวี่มาเล่นด้วย มากอด มาจับ ปกติแล้วเจ้านี่ไม่ค่อยชอบเล่นแบบนี้เท่าไหร่หรอก ออกจะเกลียดเด็กด้วยซ้ำไป ? ลุงไฝบอกว่ามันคงรู้สถานะตัวมันนั่นแหละครับ คิดดู ขนาดหมายังรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว แต่คนบางคน กลับไม่รู้จักมองเงาหัวตัวเองแฮะ แปลกแท้ๆ ? นี่คิดๆอยู่ว่าถ้าบ้านมีคนเช่าแล้วเขาไม่เอาหมา ไอ้ขาวคงจะได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นวนครนั่นแหละ คงจะลำบากหน่อย แต่ก็จะได้อยู่ด้วยกันเสียที !!

คุยกับเจ้าของบล็อคได้ที่เวปครับ
www.pandagroup.pantown.com









::: เมื่อคืนฝันแปลกๆ ฝันถึงย่า :::

.....................ย่ายังไม่ตายน่ะครับ หมายถึงย่ามูวี่ หรือคุณแม่ผมนั่นแหละครับ ปกติผมไม่ค่อยได้ฝันถึงแกนะ เท่าที่จำได้ แต่แปลกเมื่อคืนฝันค่อนข้างยาวมาก ตื่นมารีบเล่าให้เจนนี่ฟัง เพราะปกติความฝันถ้าเก็บไว้ถึงกลางวันมักจะลืมว่าฝันอะไรไป ? จำได้ว่าแวะไปที่บ้านน่าจะเป็นแถวบางลำพู เพื่อไปเอาของอะไรสักอย่าง เหมือนเอาของมาขายน่ะครับ แต่เป็นพระเลี่ยมทอง ใส่มาในถุงครับ แต่แปลกตรงที่จำได้ว่า รับมาแค่อันละ 115 บาท น่าจะเป็นสิบพวงน่ะครับ คนที่ขายเขาลดให้ตั้งห้าบาท สิบอันก็ตั้งห้าสิบบาทแน่ะ จำได้ว่าแบบ ดีใจมากที่เค้าลดให้เยอะ จากนั้นก็ขนถุงพระเลี่ยมทอง มา จูงมือแม่ไป .. พักค้างแรมนอกบ้าน แต่ในฝันเหมือนเป็นที่แถวๆใกล้บ้านน่ะ

.....................เหมือนเป็นโรงแรมริมคลอง หรือบ้านกึ่งรีสอร์ท บอกไม่ถูก จำได้แค่ว่า ชั้นล่างมันเตี้ยๆ มีแค่ครึ่งชั้นมั้ง แต่พอจะเข้าไปนอนได้ แต่ยืนไม่ได้ เรียกว่าอยู่ไม่สะดวก ก็จะไปดูข้างบน แต่ย่าบอกว่าห้องนี้ก็โอเค .. อ้อ ลืมไป ก่อนจะไปถึง ย่าก็เดินช้าเหมือนอย่างปัจจุบันนี้แหละครับ ต้องพยายามพยุง จูงมือมา มีพี่เลี้ยงมาด้วยอีกคน แต่พี่เลี้ยงไม่ใช่นก ( คนเลี้ยงย่า ที่ดูแลย่าตอนนี้ ) เป็นใครไม่รู้ เหมือนเป็นคนแถวจันทบุรี หรือระยองนี่แหละครับ เห็นเขาว่า แต่จำชื่อไม่ได้นะ ~ มาถึงก่อนจะไปดูห้องข้างบน ก็เห็นย่าเดินเข้าไปเตรียมจะนอนห่มผ้าแล้ว ก็เลยฝากถุงพระเลี่ยมทองไว้กับย่า ในถุงมีเงินเป็นฟ่อน น่าจะเป็นแบงค์พัน สองปึก กับเงินเศษอีกๆ น่าจะร่วมๆสามแสน

.....................เอาถุงพระเลี่ยมทองไว้หัวเตียง แล้วก็บอกย่าว่า ให้ย่าดูเงินให้ด้วยนะ ฝากไว้ติดกับตัวย่าเลย ให้ย่านอนเอามือทับไว้ เพราะย่านอนขนานกับกำแพงถ้าใครเดินมาหยิบตังก็คงจะรู้แน่นอน จากนั้นย่าหรือใครก็ไม่รู้บอกว่า ให้เอาสมุดบัญชีหัวเตียงไปด้วยสิ แปลกๆแฮะ เป็นโรงแรม แต่บางความรู้สึกก็เหมือนเป็นบ้านตัวเองอีกหลักที่ไม่เคยไปมาก่อน ผมจำได้ว่าในฝันบอกว่า มีแต่สมุดบัญชีเก่าๆไม่รู้จะเอาไปทำไม เปิดมาเล่มนึงเป็นคล้ายๆ คู่มือทะเบียนรถด้วย แต่เป็นรถใครก็ไม่รู้ แล้วก็จำได้ว่ากำลังจะขึ้นไปดูห้องพักข้างบน แต่ก็ตื่นขึ้นมาซะก่อน ไม่รู้ว่าฝันนี้แปลว่าอะไร เอาไว้เด๋วบ่ายๆจะโทรไปคุยให้ย่าฟังสักหน่อย ไม่รู้ว่าย่าเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าช่วงนี้อาการไม่ค่อยดี

www.pandagroup.pantown.com

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

... เคยแวะจอดรถลงไปขี้ข้างทางหรือเปล่าครับ เวลารถติดมากๆ ? ...

...................เมื่อเช้านึกว่าจะมาทำงานทันซะแล้วเสียอีก แม้ว่าจะออกมาช้า แต่เห็นว่ารถไม่ค่อยจะติดเท่าไหร่ จนมาถึงทางเลี้ยวเข้าสนามเป้านั่นแหละ ถึงได้เห็นว่า ตายแล้วรถติดมากมาย สงสัยจะสายแหง๋ๆ แล้วก็สายจริงๆด้วย ดูเวลาจะเก้าโมงครึ่งแล้ว เกิดปวดท้อง อึจะแตก แง่ว ทำไงดี อั้นๆๆๆ มองซ้ายมองขวา เจอ ททบ.5 ดูแล้วเหมือนเขตทหาร เอาไงดี อยู่เลนขวาด้วย จะเลี้ยวยูเทิร์นออกดีใหม ? หรือว่าจะอั้นไปขี้ที่ทำงานดีหว่า .. เมื่อเช้าไม่น่าทานข้าวเยอะเลย ก็เล่นทานโจ๊ก ทานกาแฟ ทานปาท่องโก๋ ทานอะไรอีกหว่า ยัดเข้าไปซะเต็มท้องเลย ทานเป็นเพื่อนมูวี่น่ะ ไม่งั้นมูวี่ไม่ค่อยยอมทานข้าวเช้า เลยทำให้ออกจากบ้านสายกว่าปกติด้วย ~

...................แล้วก็ขับกระดึ๊บๆผ่านยูเทิร์นแรกไป เอาไงดี อดใจอีกหน่อย สุดท้ายเห็นสภาพรถติดแล้วก็คิดว่าคงไม่ไหวแน่ๆ เจอยูเทิร์นอีกอัน มองซ้ายมองขวา เห็นศูนย์บริการรถฮอนด้า เขียนว่าเปิดบริการทุกวัน เอางี้ล่ะ ไม่เสียเวลาแล้ว ยูเทิร์นปุ๊ปรีบปาดเข้าซ้าย เลี้ยวเข้าศูนย์เลย ทั้งๆที่ตัวเองขับรถโตโยต้า ( เอิ๊กส์ ) เสียบเข้าที่จอดรถ วิ่งออกมา ถอดเนคไทท์ เดินตรงมองหาห้องน้ำ ป๊าปๆๆ วิ่งเข้าส้วม เปิดประตู ปู๊ดป๊าด เรียบร้อย สบายแฮ แล้วค่อยเดินออกมา ดูเวลา ทีแรกนึกว่าจะโทรไปขอลางานสักชั่วโมง แต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า สายนิดเดียว ช่างมันเหอะ เด๋วนี้ไม่โดนหักค่ามาสายอยู่แล้ว เพราะค่ากะเขาไปรวมกันเงินเดือนเรียบร้อยตั้งแต่เดือนก่อน ดีจังเลย

...................ที่ศูนย์บริการฮอนด้า เค้าก็ดูดีนะครับ มีที่นั่งพัก มีกาแฟฟรี มีทีวีดู ก็ว่าจะชงกาแฟฟรีแถมมาด้วยก็เกรงใจ อิอิ เลยออกมาตัวเปล่าแล้วขับรถต่อมาถึงที่ทำงาน สายไป 20 นาที ตอนใกล้ถึงอนุสาวรีย์ชัยรถเยอะมาก ก็เพราะเขาปิดการจราจรบนสะพานดินแดง ทำให้รถย่านนี้ติดไปทั่วบริเวณ แต่จริงๆบางวันก็ไม่ติดนะครับ เข้าทางพหลโยธิน ก็ยังเร็วกว่าขับรถผ่านมาทางสามแยกดินแดง ทางนั้นโหดกว่า ... วันนี้ตอนผ่านอนุสาวรีย์ เกือบชนตำรวจตายซะแล้ว ไอ้ห่า มีที่ใหน แม่งจะไถรถที่ทำผิดกฏ แม่งเดินโบกไม้โบกมือ ตัดหน้ารถเราเฉยเลย ให้เราหักหลบไปอีกทางแทน จริงๆกะว่าสักวันจะทับตำรวจจอมรีดพวกนี้ให้ตายคาถนนสักทีนะ จริงๆเมื่อเช้ากะนะว่า ถ้าหากว่ามันโบกรถเราจริงๆ ผมก็ไม่จอดให้โง่หรอกครับ เพราะตรงนั้นมันไม่ติดแล้ว และเราไม่ทำอะไรผิดกฏ จะจอดให้มันไถตังเราก็ใช่ที่ ใครที่เห็นถนนโล่งแล้วเลี้ยวเข้าไปจอดก็โง่เต็มที ~

ป.ล. แล้วคุณๆล่ะ เคยเจอรถติดมากๆแล้วอั้นไม่ไหว ต้องลงไปหาที่ขี้ข้างทางกันบ้างป่าว ?
www.pandagroup.pantown.com

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

~ บ้านเดี่ยวแถวบางบัวทอง ปล่อยเช่าเท่าไรดีน๊า ? ~

.......... เช้านี้ขับรถไปบางบัวทอง เพราะว่าต้องไปดูสภาพบ้านและต้นมะม่วงที่โดนตัด คือมันโดนลม แล้วโค่นลงมา ก้อเลยต้องหาคนมาตัด ฝากลุงไฝ หาคนมาตัดให้ ซึ่งก็ตัดไปเรียบร้อยแล้ว ในราคา 800 บาท นึกแล้วก็ยังคิดๆว่าทำไมมันแพงขนาดนั้น คือตอนที่แกไปหาคนมาตัด ก็ไม่บอกราคาเรามาก่อน ตัดเสร็จมาบอกราคาเราแบบนี้เล่นเอาเซ็งไปเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ก็ตัดไปแล้ว ยังไงก็ต้องจ่าย ทีแรกคิดอยู่ว่าเป็นต้นหลังบ้าน ซึ่งผมว่าต้นมันเล็กนิดเดียว ไม่น่าจะแพงขนาดนั้น แต่พอไปดูจริงๆ อ้าวมันเป็นอีกต้น ที่อยู่ด้านซ้ายของบ้าน ซึ่งเป็นต้นใหญ่มากๆๆ ยังงงว่าลมพัดโค่นลงมาได้อย่างไร งงมากๆ สงสัยลมจะมาแรงจริงๆ แถมหลังคากระเบื้องบางส่วนยังแตกลงมา ทะลุกันสาดอีกต่างหาก น่ากลัวมากๆ สงสัยจะต้องจ่ายค่าซ่อมหรือทำกันสาดใหม่หรือเปล่า หรือว่าเอาให้พอใช้งานได้ไปก่อน

.......... ปัดกวาดทำความสะอาดบ้านนิดหน่อย แล้วเลือกเอาของ อัลบั้ม บางอย่างกลับมาที่บ้านนี้ด้วย จัดการพาเจ้าขาวไปเดินเล่น เอาดินลง เอากระเบื้อง อุดรอยร้าวด้านข้างของบ้าน กันงูไม่ให้เข้าไปทำรังใต้บ้าน แล้วเอาดินลงโปะๆ ดินค่อนข้างแฉะนิดหน่อยเพราะว่าฝนคงเพิ่งตก ชานบ้านสะอาดสะอ้าน เจ้าขาวก็สะอาด สงสัยลุงไฝเพิ่งมาทำความสะอาด อาบน้ำให้ไอ้ขาว วันนี้ก็เลยอยู่ที่บ้านบางบัวทองถึงเกือบบ่ายๆ จนคุณนายเริ่มหิว ก็ขยับขยายออกมาทานราดหน้ากันที่ ปากซอยไทรน้อย กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็สักบ่ายสองเห็นจะได้ แวะเติมน้ำมันมาด้วย ตอนเย็นก็ไปรับมูวี่ที่โรงเรียน ( ตอนเช้าก็ไปส่งก่อนไปบางบัวทอง ) ตอนเย็นก็พากันไปว่ายน้ำที่สระหน้าหมู่บ้าน อยู่กันถึงหัวค่ำเลยทีเดียว เล่นเอาเพลียๆไปเหมือนกัน มูวี่เด๋วนี้ชอบว่ายน้ำสระใหญ่ตลอด เริ่มจับโฟมเป็น เริ่มว่ายน้ำได้ไกลมากขึ้น อีกหน่อยคงจะเริ่มเรียนว่ายน้ำเป็นการเป็นงานกับครูได้ .. อุ๋ย น้องอุ๋ยโทรมา แล้วค่อยอัพบล็อคหน้าดีกว่า

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

{{ Unthinkable ... คุณสามารถทรมานและฆ่าแม่ กับ เด็กเล็กที่บริสุทธิ์ 2 คน แลกกับชีวิตคนเป็นล้านหรือเปล่า ? }}


Unthinkable ( ล่าวินาศกรรม ระเบิดเมือง ) .... สามดาว .....

........................เห็นหน้าหนังเหมือนหนังเกรดบี ตอนเจนนี่เช่ามาผมยังถามเลยว่าเช่ามาทำไมกันเนี่ย ? ไม่เห็นน่าดูเลย ทีแรกกะว่าจะไม่ดูแล้วด้วยซ้ำ แต่โดนชวนมาดู ก็สารภาพตรงๆจำดาราผิวสีที่อยู่บนปกหนังแผ่นไม่ได้อ่ะ พอเปิดไปได้สักพักถึงจำได้ว่า นั่นคือ แซมมวล แอล แจ็คสัน ดาราฝีมืออีกคนของฮอลลีวู๊ดนี่นา แล้วดาราที่เล่นประกบอย่าง แครี่ แอน มอส ( นางเอก เมทริกซ์ ) กับ ไมเคิล ชีน และ ตัวประกอบอีกหลายคนก็หน้าคุ้นๆกันทั้งนั้น คิดว่าหนังน่าจะได้ฉายโรงหนังแหละครับ แต่เมืองไทยมาลงแผ่นเพราะว่าดารานำไม่ค่อยขายในบ้านเราเท่าไหร่ ? หนังเรื่องนี้ถือว่าสนุกและดีกว่าที่คาดไว้มาก เป็นหนังที่มีเนื้อหาใหญ่ แต่จำกัดฉากต่างๆเกือบทั้งหมดไว้อยู่ในสถานที่แคบๆหรือห้องแคบๆเท่านั้น คนทำหนังฉลาดและรู้จักใช้งบสร้างหนังได้รัดกุม

........................ภาพยนตร์ตั้งคำถามที่น่าสนใจไว้หลายข้อ จนทำให้ผมอยากหยิบยกมาถามคุณๆด้วยเหมือนกัน เช่น ถ้าต้องทรมาน อาจจะข่มขืนผู้หญิง และฆ่าทิ้ง รวมไปถึงลากคอเด็กเล็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ 2 คน ออกมาทรมานและอาจจจะต้องสังหารต่อหน้า .. คนๆนึงที่เป็นสามีและพ่อของเด็กเหล่านั้น เพื่อให้เขายอมคายความลับที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตของผู้คนเป็นล้าน คุณคิดว่ามันสมควรกระทำหรือเปล่า ?? อะไรคือความหมายของผู้ก่อการร้าย ? ลองนึกดูนะครับว่าพฤติกรรมและความชั่วที่ภาครัฐก่อ จนทำให้เกิดความรุนแรงโต้ตอบกลับ อย่างใหนที่เลวร้ายกว่ากัน แล้วระหว่างการฆ่าแม่และลูกเล็กๆทิ้ง กับการไม่ฆ่า แต่ปล่อยให้คนร่วมชาติต้องตายไปเป็นล้าน อย่างใหนจะบาปกว่ากันกันแน่ครับ ? เพราะถ้าคุณไม่ทำอะไร เพื่อนร่วมชาติคุณจะต้องล้มตาย !!

........................Unthinkable อาจจะมีความเป็นหนังมากไปนิด และอ่อนด้อยความสมจริงของเหตุและผลไปพอสมควร ถ้าลองมาคิดกันดีๆ แต่อย่างไรก็ดี หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่ดี แถมยังตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรม มโนธรรม คุณธรรม และความเป็นมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจครับ มองเผินๆก็คล้ายๆหนังเรื่อง Avatar นั่นแหละครับ ที่คนเราส่วนใหญ่ล้วนอยากจะเป็นคนดี อยากทำดี แต่ความเป็นจริงก็คือโลกเรามันโหดร้ายเกินกว่าที่ความเป็นมนุษย์ของเรามันจะอยู่ได้ครบ เคยมีคนบอกไว้ว่าในสงครามต้องไม่มีความปราณี และความอ่อนแอนนั่นแหละจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ !! ความแตกต่างทางความคิด จะนำมาซึ่งสงครามสถานเดียวอย่างไม่มีข้อโต้แย้งจริงหรือ ? และถ้าเลือกได้ระหว่างชีวิตผู้คนเป็นล้าน กับการยอมเสียหน้าของรัฐ คุณว่านักการเมืองจะเลือกไง ?

........................ข้อต่อรองของมนุษย์คนนึงที่พึงมีต่อภาครัฐ ก็แค่ขอให้สหรัฐถอนทหารกลับ เลิกรุกรานประเทศมุสลิม แลกกับชีวิตคนประเทศตัวเองเป็นล้าน แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาก็คงเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดในบางประเทศ ที่รัฐบาล สั่งสังหารชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิให้ด่าวดิ้นตายนับร้อยคาเมืองหลวง เพื่อให้คนร่ำคนรวยในประเทศได้ออกไปช็อปปิ้ง ? เพื่อให้ตัวเองได้ครองอำนาจอยู่ต่อไป เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่กลับมาใช้ชีวิตปกติสุข ถ้าเป็นเช่นนั้นถือว่ารัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลที่ชั่วร้ายหรือไม่ หรือเป็นรัฐบาลที่ประชาชนควรสนับสนุน ? กรณีในหนังจะเห็นได้ว่า การรุกรานประเทศอื่นเป็นนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐ !! ชีวิตประชาชนจะไปสำคัญอะไร จริงใหมครับ ? ก็เหมือนที่นายกบางคนเคยชี้หน้าด่าคนอื่นว่า ยังมีความเป็นคนหรือเปล่า แต่สุดท้ายตัวเองนั่นแหละสั่งสังหารประชาชนเป็นร้อย อยากเรียนถามกลับว่า แล้วนายน่ะยังเป็นคนหรือ ?


http://www.pandagroup.pantown.com/

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

+ Case 39 .... เด็กเปรตผีนรก !! +



Case 39 ( สามดาวครึ่ง )
Orphan ( สามดาวครึ่ง )

......................เคยดูหนังเรื่อง Orphan เด็กนรก กันบ้างใหมครับ ? หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นภาคต่อ หรือภาค 2 ของหนังเด็กนรกเลยก็ว่าได้ เรื่องของคนที่อยู่ดีไม่ว่าดี ไปรับเด็กมาเลี้ยง จะด้วยความพิศวาสหรือถูกชะตา หรือจำเป็นอะไรก็ตามแต่อ่ะครับ เด็กที่ไม่ใช่ลูกของเรา ไปเอามาเลี้ยงดู มีเสียมากกว่าได้แน่นอน เลี้ยงดีก็แค่เสมอตัว ถ้าเลี้ยงไม่ดี หรือเด็กมันเหี้ยโดยสันดาน แค่คิดก็เสียวแล้ว จะทำอะไรมันมากเราก็เสีย จะไม่ทำอะไร เด๋วมันก็มาฆ่าปาดคอเรา จะให้ทำยังไง ? ความแตกต่างระหว่าง orphan กับ Case 39 หลักๆเลยคือเรื่องดาราและความสมจริงครับ เรื่องแรกไม่ใช้ดาราดัง แต่เรื่องหลังมี เรเน่ เซลวีเกอร์ เป็นหัวใจ เรื่องแรกใช้ตรรกะ เหตุผล ความสมจริง เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์รองรับได้ทุกอย่าง แต่ เรื่องหลังเล่นไปถึงเรื่องผี และสิ่งเหนือธรรมชาติ

......................จุดเด่นที่คล้ายๆกันของหนังสองเรื่องนี้ก็คือ ถือว่าเป็นหนังที่กำกับได้ดีมากๆทั้งคู่ คือเล่นกับอารมณ์ ความรู้สึกคนดู ได้เป็นอย่างดี กะจังหวะจะโคนของหนังได้อยู่หมัด เทียบกันแล้ว Orphan จะเล่นแบบมันส์มือกันตั้งแต่แรกมากกว่า แต่ Case 39 จะค่อยๆไล่ระดับอารมณ์แบบกราฟค่อยๆพุ่งขึ้นเรื่อยๆจนถึงช่วงท้าย ก็เรียกว่าได้ความมันส์กันไปคนละแบบ ~ แล้ว นักแสดงเด็กดารานำของทั้งสองเรื่องถือว่าเล่นได้อย่างน่าสยดสยองทั้งคู่ครับ เด็กเปรต orphan อาจจะเล่นได้เหนือกว่านิดๆ แต่เด็กเปรตเรื่อง Case 39 จะได้เปรียบกว่าตรงที่ได้พูดบทสนทนาที่เฉียบแหลมกว่า ฟังแล้วยะเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ? ส่วนตัวแม่ของทั้งสองเรื่องก็ถือว่ารับส่งอารมณ์สีหน้ากันได้เยี่ยมตามประสานักแสดงอาชีพอยู่แล้ว ~ งานนี้ตัวพ่อก็เลยหมดบทบาทไปเลย

......................Case 39 ถือว่าเป็นหนังที่เล่นเรื่องราวเกี่ยวกับความกลัวของมนุษย์ เชื่อมโยงไปกับความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างได้ผล ทำให้เราสับสนระหว่างมาตรจริยธรรมในตัวกับ ความรักตัวเองและการที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตให้รอด ลองคิดกันเล่นๆว่าระหว่าง ถ้านางเอกปล่อยให้ " สิ่งชั่วร้าย " สิ่งนี้หลุดรอดพ้นไปเพื่อไปทำความเลวต่อ หรือไปทำร้ายครอบครัวอื่นต่อไปเรื่อยๆเพียงแค่ตัวเองอยากให้รอดพ้นไปคนเดียว ซึ่งก็ทำได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าเธอก็คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ๆ !! ชอบที่ตัวละครอีกตัวบอกนางเอกว่า จงทำตัวเองให้พร้อม เลิกกลัว เพราะถ้าไม่กลัวเธอก็ทำอะไรเราไม่ได้ ที่สำคัญ อย่าลืมเตรียมตัวตายไว้ด้วย เพราะเราอาจจะพลาดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ? ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นอีกความเซอร์ไพร๊ซ์แห่งปี เพราะหนังดีๆบางครั้งมองแค่หน้าหนังไม่ออกจริงๆนะครับ ~

พูดคุยกันต่อเชิญที่เวปผมได้ครับ
www.pandagroup.pantown.com

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

* From Paris With Love มันส์เกินคาด / Alice in Wonderland น่าผิดหวัง *



.......................From Paris With Love ไม่แน่ใจว่าใครกำกับ น่าจะเป็นหลุยส์ เลตติเยร์ หรือเปล่า ? รายนี้กำกับหนังได้มันส์อยู่แล้วครับ แต่หนังทั้งเรื่องก็ตกอยู่ในเงื้อมมืออิทธิพลของ ลุค เบซอง ผกก.หนังแอคชั่นเลือดน้ำหอมชื่อก้อง ที่ตอนหลังมักจะหลบไปอยู่เบื้องหลัง คอยปั้นคนทำหนังรายใหม่ๆซะมากกว่า ซึ่งนอกจากจะคอยเอาชื่อมาค้ำประกันให้ หลายๆเรื่องก็ยังเข้าไปช่วยคิดเรื่อง เขียนเรื่องด้วย หนังเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันมาจากไอเดีย เฮียเบซอง แกล่ะ !! โดยมากหนังที่แกเข้ามารับประกันคุณภาพให้ ก็ไม่ค่อยสร้างความผิดหวังให้คอหนังเท่าไหร่หรอกครับ เพราะส่วนใหญ่มันส์เข้าว่าอยู่แล้ว ครั้งก่อนก็ Taken ก็มันส์ถล่มทลายทำเงินทั่วอเมริกาไปหนแล้ว

.......................หนังเรื่องนี้มาแนวแอคชั่นคู่หู คนนึงเก่งโคตร อีกคนนึงยังอ่อนหัด ก็ค่อยๆเรียนรู้กันและกัน ประคับประคองกันและกัน ได้ฟันฝ่าอุปสรรคจนได้คุ้นเคย และรู้ใจกัน จริงๆหนังไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับการเชื่อมซีนอารมณ์ หรือพัฒนาการตัวละครหรือบทอะไรอยู่แล้วอ่ะครับ เพราะแกคิดเอาเองว่า หนังแกกะขายฉากแอคชั่น เล่นบู๊เอามันส์อย่างเดียวกันเลย แต่ที่ผมชอบอีกอย่างก็คือ หนังเรื่องนี้มีอารมณ์ขันเยอะมาก นอกจากเอาตื่นเต้นแล้วยังเอาฮาได้อีก ซึ่งคู่หู่ รีส ไมเยอร์ กับ ทราโวลต้า ถือว่าเล่นมุขกันได้เข้าขาพอสมควร ชื่นชมทีมพากษ์พันธมิตรด้วย ที่ทำหน้าที่ได้ดี พูดตรงกะปากแล้วยิงมุขที่ค่อนข้างเข้ากับเนื้อหา แต่ฮา !! เรียกว่าหนังกวนตีนเอามากๆ

.......................ปัญหาประการเดียวก็คือ หนังอ่อนความเป็นเหตุผล และก็เล่นเล่าเรื่องแบบง่ายไปนิดนึง คือแบบว่าเราก็อดคิดไม่ได้ว่า เออ มันเล่นยิงบาซูก้ากันกลางเมือง หรือว่า เกิดเหตุรุนแรงอะไรต่อมิอะไรมากมายโดยผู้คนแถวปารีสเค้าไม่สนใจกันเลยเหรอ ? แต่เมื่อคิดได้ว่า โจทย์หนังเค้าบอกว่าอย่าคิดมาก ก็คิดว่าดูเอาเพลินๆดีกว่า ชอบรถ Audi ในหนังนะ แหม๋ รู้สึกยี่ห้อนี้ได้โปรโมทในหนังเจ๋งๆทั้งนั้น ถ้ามีตังก็น่าซื้อสักคันเพราะว่าอึดเหลือหลาย ให้ 3 ดาวครับเรื่องนี้ !! ส่วน Alice in Wonderland ให้ 2 ดาวครับ ถือว่าเป็นหนังที่น่าผิดหวังอีกเรื่อง แปลกใจที่หนังทำเงิน ปกติหนังแนวนี้ เป็นแนวถนัดของ ทิม เบอร์ตัน แท้ๆนะครับ แต่ไหง๋เรื่องนี้ถึงออกทะเล

.......................Alice มีโอกาสที่จะเพิ่มระดับความลึกของเนื้อหา สามารถเล่นประเด็นแฝง ใส่สัญลักษณ์ วางโครงสร้างสัญญศาสตร์ และเปรียบเทียบโยงโน่นผสมนี้อะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่เหมือนทิม เบอร์ตัน ปัดเรื่องพวกนั้นทิ้งหมดเลย และโลกแฟนซีที่หนังเล่นก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตา เนื้อหาซ้ำซาก น่าเบื่อหน่าย และไม่มืดหม่น ดูเหมือนเป็นเทพนิยายธรรมดา เหมือนพวก ปีเตอร์แพน อะไรแบบเด็กๆไปซะมากกว่า เราไม่เห็นว่า ตัวอลิซ จะได้เรียนรู้อะไรเท่าไหร่จากวันเดอร์แลนด์ ที่เธอไปมาถึงสองหน แล้วมันจะส่งผลอะไรกับชีวิตเธอ ทำไมถึงต้อง 2 หน แล้วถ้าหนหน้าจะเป็นอย่างไร ? ผมมองว่าหนังมันดูใสๆเกินไป หรือว่า เบอร์ตัน จะฟอร์มตก หรือว่า ... ??

www.pandagroup.pantown.com

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The Imaginarium of Dr. Parnasus - ภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย ของ ฮีท เลดเจอร์ !!

The imaginarium of Doctor Parnasus ( ศึกข้ามพิภพสยบซาตาน ) 2 ดาวครึ่ง

.........................ทนดูจนจบจนได้ สังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียวตั้งแต่เห็นชื่อทีมงานและหน้าหนัง ก็ระดับ ผกก.เทอร์รี่ กิลเลียม ทำหนังธรรมดาเป็นซะที่ใหนล่ะครับท่านผู้อ่าน ? ดูเครดิตเก่าๆของน้าแกก็ได้ แม่ง หนังอาร์ตตลอด ? เรื่องนี้ก็ไม่ต่างกันครับ เป็นหนังอาร์ตที่ได้ทุนสร้างสูงมหาศาลเหลือเชื่อ เผลอๆจะสูงกว่าหนังซัมเมอร์สตูดิโออีกมั้งเนี่ย ... มีฉากอลังการณ์ ขายฝันหวือหวากันมากมาย เพราะหนังเล่นกับเรื่องราวของจินตนาการกันล้วนๆ ถ้าถามว่าหนังดูยากใหม ผมว่าไม่ยากนะครับ แต่บางส่วนอาจจะต้องตีความวิเคราะห์กันไปเอง และเรียกร้องความตั้งใจในการดูอย่างมากถึงมากที่สุด หนังมีดาราระดับตัวพ่อหลายคนมาร่วมแจม เริ่มตั้งแต่ตัวเอก ก็คือ ฮีท เลดเจอร์ และรองๆลงไปก็มีอย่าง จู๊ด ลอว์ / จอห์นนี่ เดปป์ / โคลิน ฟาร์เรล โอ้ เห็นชื่อแต่ละรายแล้วนึกว่าหนังรวมดาวซะอีกนะครับเนี่ย แต่รายหลังๆมาเล่นเหมือนรับเชิญซะมากกว่า โผล่คนละนิดละหน่อย

.........................ฮีท เลดเจอร์ ฝากผลงานเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของชีวิต และเท่าที่ทราบก็คือเสียชีวิตก่อนหนังจะถ่ายเสร็จ หนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นเหมือนงานสั่งลา ที่ กิลเลียม ก็อาจจะต้องสลับสับเปลี่ยนอะไรบางอย่างไม่ให้บทของ เลดเจอร์ เสียหายไปมาก แต่เท่าที่ดู บทของ เลดเจอร์ ก็ถือว่ามีค่อนข้างมาก เป็นตัวหลักครับ โชคดีที่หนังเล่นเรื่องของจินตนาการค่อนข้างมาก ก็เลยทำให้เปลี่ยนตัวละครไปเป็นคนอื่นเล่นได้อย่างสบายๆ หนังเรื่องนี้ถือว่าบ้าถึงบ้ามาก ไม่ได้เรียกร้องความสามารถในการแสดงมากนัก เล่นกับอารมณ์ศิลปินของผู้สร้างมากกว่า ~ แล้วก็ใส่ความหวือหวาในส่วนของแฟนตาซี แต่พล็อตหลักที่ว่าด้วย ข้อตกลงของซาตานกับตัวเอก กลับไม่ได้รับการขับเน้นเท่าที่ควร จับประเด็นอะไรไปต่อยอดค่อนข้างยาก แถมหนังยังให้ความบันเทิงค่อนข้างน้อย ถ้าใครหามาดูก็คิดซะว่าดูดารามาเล่นอะไรขำๆแก้ขัดก็แล้วกันครับ หรืออย่างน้อยก็ถือว่าดูฝีไม้ลายมือของ ฮีท เลดเจอร์ เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อการสั่งลา ...เสียดายที่หนุ่มฮีทจากโลกนี้เร็วไปนิดนะครับ ..

http://www.pandagroup.pantown.com/

= Hachi .... หมา 1 ตัว ยังมีคุณค่ามากกว่าพวกเสื้อเหลือง 100 เท่า พันเท่า !! =


Hachi ( สามดาว )

......................ความตั้งใจที่จะรีเมคภาพยนตร์เรื่องนี้จากเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ให้เป็นเวอร์ชั่น ฮอลลีวู๊ด แบบอเมริกัน ต้องถือว่าเป็นความคิดที่ดี และเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง เพราะเนื้อหาของหนังเรื่องนี้สร้างความเต็มตื้นให้กับทุกคนที่ดูอยู่แล้วล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใหน ? แต่การจะดัดแปลงเนื้อหาทั้งหมดให้เกิดขึ้นในสหรัฐ ด้วยลักษณะความเป็นอยู่ของญี่ปุ่น กับ อเมริกัน มันก็ค่อนข้างแตกต่างกัน การใส่โน่นเพิ่มนี่ ตัดนั้นลงไป ก็เลยทำให้หนังมีรสชาติที่เปลี่ยนไปพอสมควร แต่กระนั้นก็ยังถือว่าหนังทำได้ค่อนข้างบรรลุผลสำเร็จ ในการคงคุณลักษณะ ธีมหนัง และเนื้อหาของหนัง รวมถึงอารมณ์หนังโดยรวมๆไว้ได้อย่างค่อนข้างดี !! อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าหลายๆคนที่ดู ก็น่าจะน้ำหูน้ำตาไหล บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้สร้างหนังได้เป็นอย่างดี แม้ผมมองว่า ลาร์ส ฮอลสตรอม ผกก.คุณภาพจอมเก๋ารายนี้ จะไม่ได้บีบเค้นแบบเต็มที่ก็ตาม เฮียแกปล่อยให้อารมณ์มันไหลไปเองตามธรรมชาติ ประกอบกับดนตรีประกอบสุดซึ้งที่บรรเลงคลอตามไปด้วยทั้งเรื่องก็บิ๊วท์ได้ดีอยู่แล้ว ~

......................เวอร์ชั่นดั้งเดิมมีความเร้าอารมณ์สูงกว่า และสร้างความผูกพันระหว่างตัวละคร คนกับหมา หรือศาสตราจารย์ตาบอด กับ เจ้าหมาฮาจิ ได้อย่างน่าซาบซึ้งใจกว่า เพราะผมรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกของคนทั้งสอง ( หรือคนกับหมา ) นั้นมีแค่กันละกันอย่างแท้จริง ผมจำไม่ได้เลยว่าในครอบครัวของอาจารย์มีคนอื่นอีกหรือเปล่า จำได้แค่ หนังมันเล่นกันแค่สองตัวละครจริงๆ !! แต่เวอร์ชั่นนี้เพื่อความเป็นอเมริกัน ก็เลยเพิ่มครอบครัวของศาสตราจารย์มาอีกเพียบ ไม่ว่าจะเมีย ลูกสาว ลูกเขย และหลาน ?? แถมจารย์ก็ไม่ได้ตาบอดด้วย แต่น้องหมาก็ยังวิ่งไปรับส่งที่สถานีรถไฟเหมือนหนังฉบับเดิมไม่มีผิด !! และที่สำคัญ ศาสตราจารย์รับบทโดยดาราดังอย่าง ริชาร์ด เกียร์ ?? การเพิ่มหลายๆตัวละครเข้ามาทำให้ความผูกพันระหว่างตัวละครหลักดูลดลงไปโดยปริยาย และการวางปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครอื่นในครอบครัวกับหมา ทำให้อารมณ์แกว่งไปนิดหน่อย คือมันเหมือนโลกของตัวละครหลักไม่ได้มีแค่กันและกัน แต่กลับมี " คนอื่น " เข้ามาถ่วงดุลเพิ่มด้วย ~

......................เหตุผลต่างๆในการดำเนินชีวิต และตัวละครที่รายล้อมเข้ามา จะเรียกว่าสีสัน หรือจะมองว่าเป็นสไตล์แบบ Hollywood ก็ได้ ในหนังบางเรื่องจำเป็นต้องมี แต่กรณีนี้ผมมองว่าถ้าไม่มีน่าจะดูดีกว่านี้ครับ ~ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่า หนังเขียนบทได้ดีพอสมควร และมีการใส่ไดอาล๊อกที่โดนๆลงไปอยู่หลายท่อน อย่างเช่น แท้จริงแล้วไม่ใช่คุณเป็นคนเจอหมา แต่เจ้าหมาต่างหากที่เป็นคนเลือกคุณ ? ถ้าคุณเคยเลี้ยงหมาหรือเป็นคนรักหมา หนังเรื่องนี้ทำคุณถึงตายได้ไม่ยากครับ เพราะมันเต็มไปด้วยความรักความผูกพัน ความอ่อนไหว ความละเอียดอ่อนซึ่งมีมนุษย์ไม่มากนักในโลกปัจจุบันนี้จะเข้าใจมันได้ เพราะผมมองว่าคนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้จิตใจหยาบกระด้าง ไม่เหมือนแต่ก่อน และการได้คลุกคลีกับสัตว์ที่มีคุณลักษณะดีๆแบบน้องหมาเนี่ยแหละ ที่จะทำให้จิตใจของคนเราอ่อนโยน และมีความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้น สังเกตุการพูดการจาของหลายๆคนในโลกไซเบอร์สิครับ ดูตามเวปบอร์ดหลายๆที่ก็ได้ นั่นแหละครับ การแสดงออกของคนที่หยาบกระด้าง ?

......................Hachi ทำให้ผมนึกถึงเจ้านุ๊ก ผมดีใจนะที่ตอนนี้เจ้านุ๊กมันไปสบายแล้ว บางครั้งคิดว่ามันเป็นเรื่องเศร้านะที่เราต้องพลัดพรากจากกัน แต่ถ้ามานึกดูอีกที การที่มันได้จากไปก่อนเรา ย่อมจะดีกว่าการที่มันจากโลกนี้ไปทีหลังเรา อย่างน้อยก็ทันได้ดูใจกันในนาทีสุดท้าย ได้ปลอบประโลมกัน ได้ใช้ช่วงเวลาที่ดีระหว่างกัน ลมหายใจสุดท้าย หรือภาพสุดท้ายของมันที่จะจดจำได้ก็คงจะเป็นภาพของตัวเรา ... คงไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการที่ต้องจากไปโดยไม่มีใครอยู่ข้างๆ เหงาตายอยู่ชีวิตเดียวกลายเป็นเหมือน Last life in the universe !! จากประสบการณ์ที่เคยเลี้ยงหมาบอกได้คำเดียวว่า หมานี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุด และคงคุณลักษณะส่วนดีเอาไว้แทบทั้งหมด การได้คลุกคลีกับหมาทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและสงบเยือกเย็น แต่ถ้าชีวิตของคุณๆไม่เอื้ออำนวยให้เลี้ยงหมาได้ล่ะก็ การหยิบหนังเกี่ยวกับน้องหมามาดูก็ช่วยทดแทนได้อยู่บ้างล่ะน่า ?


http://www.pandagroup.pantown.com/