วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

*** Tell No One ... อย่าบอกใคร ( นะว่าคุณดองนิยาย 5 ปีกว่าจะได้อ่าน ) ***

ขอบคุณพี่เล็ก kilowatt ที่มอบหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญวันเกิดผม เมื่อ 5 ปีก่อน ?

ดองไว้นานมากๆๆๆๆ กว่าจะกล้าหยิบมาอ่าน เคยคิดจะหยิบมาอ่านเมื่อสัก หลายปีก่อน แต่ก็ถอดใจหลังจากอ่านไปได้บทสองบท เพราะความที่นิยายเล่มนี้มันหนามากๆๆ แล้วผมก็มัวเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ก็เลยมีหนังสือหลายเล่มที่ถูกดองไว้ไม่ได้อ่าน จนหลังๆนี้เพิ่งจะมีเวลาว่าง ก็เลยหยิบเอามาอ่านแก้เซ็ง เพิ่งอ่าน ปีกแดง จบไปเมื่อวันก่อนนี้เอง แล้วก็เลยหยิบ " อย่าบอกใคร " ขึ้นมาอ่านต่อ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแนวทริลเล่อร์ สืบสวนสอบสวน ปีที่แล้วมีคนทำหนังฝรั่งเศส หยิบเอาหนังสือเล่มนี้ไปทำเป็นหนังมาแล้ว ซึ่งผมก็ได้ดูไปเรียบร้อยแล้ว !!

ถ้าถามผม เวอร์ชั่นหนัง ก็ถือว่าทำได้ดีนะครับ ถ่ายทอดเรื่องราว และหัวใจของนิยายได้ค่อนข้างครบถ้วน เล่าเรื่องได้สนุก วางปมได้ระทึกขวัญดี แต่เนื้อหาในช่วงกลางดูเหมือนจะอืดๆไปนิด ความสนุกอาจจะยังไม่เข้มข้นเท่าเวอร์ชั่นหนังสือ .. ส่วนตัวแล้วปกติผมเป็นคนชอบดูหนังมากกว่าอ่านหนังสือ เพราะงั้น ถ้าผมรู้ว่าหนังเรื่องใหนถูกสร้างมาจากนิยาย บางทีถ้าประทับใจตัวหนังมากๆ ก็จะหาทางเอาหนังสือเล่มนั้นมาอ่านดู การอ่านนิยาย หลังจากได้ดูหนังแล้ว มันก็จะเกิดการเปรียบเทียบได้ง่ายๆ และการได้ดูหนังก่อน ( ก็คงเหมือนคนที่อ่านนิยายก่อนดูหนังอ่ะ ) มันจะเกิดความรู้สึกว่า เวอร์ชั่นที่ได้สัมผัสก่อน มีความประทับใจกว่า เวอร์ชั่นที่ได้สัมผัสทีหลัง ?

แอบคิดไม่ได้ว่า ถ้าอ่านหนังสือโดยไม่เคยดูเวอร์ชั่นหนังมาก่อน จะรู้สึกสนุกกว่านี้หรือเปล่า หรือจะงงกว่านี้หรือไม่ ? เพราะเนื้อหาของหนังสือก็ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร ชวนงุนงงด้วย เท่าที่จำความได้ ดูเหมือนเวอร์ชั่นหนังก็จะมีการดัดแปลงหลายต่อหลายตอนพอสมควรครับ !! แต่พล็อตเรื่องหลักๆ และเหตุการณ์สำคัญๆยังอยู่ครบ ขณะที่เวอร์ชั่นหนังสือ มีการเล่นเรื่องลึกลับซับซ้อนกว่าเดิม ความสนุกของหนังสือเล่มนี้ก็คือ แม้ว่าเราจะเคยดูหนังมาแล้ว แต่หนังสือก็ยังมีอะไรให้เซอร์ไพร๊ซ์ได้มากกว่าตอนจบของเวอร์ชั่นหนังซะอีก ? ผู้เขียนมีความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวตามท้องเรื่องดี และใช้ศาสตร์การเล่าเรื่องแบบหนังสือ ผูกเรื่องให้คนดูคาดไม่ถึงอยู่แทบตลอดเวลา

Tell No One ถือเป็นหนังสือที่หักมุม หักกันจนนาทีสุดท้ายกันเลยทีเดียว เรียกว่าหลอกเราได้อย่างหมดจดอย่างเหลือเชื่อ หรือจะเป็นเพราะเราคนอ่านอยากจะโดนให้หลอก ให้ปั่นหัวเล่นอยู่แล้วก็ไม่ทราบได้ ? ตัวหนังสือของ ฮาร์ลาน โคเบน กลิ้งได้สนุกสนานมากๆๆ สิ่งที่เราคิดว่าจะใช่ กลับไม่ใช่เหมือนอย่างที่เราคาด เคยมีคนบอกว่า คนเขียนหนังสือ หรือมีพรสวรรค์ในการเขียน จะปั้น ตัวอักษร อย่างไรก็ได้ให้คนอ่านเชื่อ ? ยิ่งเก่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งปั่นหัวคนอ่านได้มากเท่านั้น ขนาดเรื่องแต่งยังทำให้คนอ่านเชื่อและคิดเป็นตุเป็นตะกันได้เลย ? จึงอยากบอกต่อว่า ถ้าใครมีโอกาสเจอหนังสือเล่มนี้ ก็หยิบหามาอ่านได้เลย เพราะมันสนุกมากๆๆจนอยากบอกต่อครับ ~

ป.ล. สรุปให้ดาว Tell No One เวอร์ชั่นภาพยนตร์ฝรั่งเศส 3 ดาว / เวอร์ชั่นหนังสือ 4 ดาว ( ได้ยินว่าค่ายหนังฝั่งอเมริกัน จะเอาไปทำเป็นเวอร์ชั่นฮอลลีวู๊ดอยู่ด้วย อยากดูจัง )

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

{{{ ตัวประกอบ ปิง ปิง + dfh + joblovenuk = 3 เทพดราม่า ที่หากันจนเจอ ?? }}}

......................ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ความบังเอิญ โลกกลม หรือ พรหมลิขิต ในที่สุด คน 3 คน ที่แรง และหน้าตาดี พอๆกัน ( ฮา ) ก็หากันจนเจอจนได้ ภายใต้เมืองอันกว้างใหญ่ไพศาลแบบนี้ หรือคุณคิดว่า การที่พวกเราได้มาเจอกัน มันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของเบื้องบน ( อิอิ - เว่อร์ ) ถึงเวปที่พวกเราได้รู้จักกัน มันจะเป็นเวปที่เฮงซวย เต็มไปด้วยผู้คนนิสัยเลวทราม แต่คนที่มี " ธรรมะ " และ " ศีล " เสมอกัน ก็ย่อมจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี ? เนอะ ? เพราะงั้นเราก็เลยขอสนทนาธรรม กับคนที่ มีคุณธรรม และความเป็น " คน " พอๆกันดีกว่า ส่วนพวก เดรัจฉาน หรือพวก " ต่ำๆ " เราก็อย่าไปเสวนา อย่าไปคลุกคลีด้วย ส่วนน้องๆอีกสองคน เข้าใจว่า คงอยาก " โปรดสัตว์ " ก็ต้องลองปล่อยให้น้องๆเขาทำหน้าที่ไป !! เมื่อสมัยก่อนผมก็ชอบทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่หลังๆ แก่แล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะสัตว์เดรัจฉานบางตัว มันก็เหมือน บัวใต้น้ำ ใต้โคลนตม จะพยายามช่วยยังไงมันก็ไม่ดีขึ้นมาได้ ....

......................เมื่อวานพวกเราได้นัดเจอกันที่ SFX เซนทรัลลาดพร้าว ในงานรอบเพรส เขี้ยวอาฆาต หนังของพี่พจน์ อานนท์ แต่เสียดายที่ผมไปถึงงานช้าไปหน่อย รถติดมากๆๆ ขนาดยอมเสียค่าทางด่วนโทลเวล์ 85 บาท ยังไปถึงงานเกือบทุ่มนึง กว่าจะเจอกัน กว่าจะได้ตั๋ว กว่าจะได้หาไรกินในงาน ก็วุ่นวายมากๆๆ ได้คุยกันนิดเดียวเองก่อนหนังฉาย ไม่ได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันซะด้วยซ้ำ น่าเสียดายมากๆๆ กะว่าจะมาถ่ายตอนหนังเลิก แต่ผมออกมาช้า ส่วนน้อง dfh เค้าออกจากโรงเร็ว ก็เลยไม่ได้ถ่ายด้วยกัน ได้ถ่ายแต่คู่ กับป้าวาสนา ตอนก่อนหนังฉาย ยังไม่ได้ถ่ายคู่กับปิงปิง สักที แต่คิดว่าโอกาสหน้าคงจะมีอยู่แล้วครับ .. ก่อนหน้าเราจะได้เจอกันในงานรอบเพรส พวกเราก็ยังได้เจอกันโดยบังเอิญ ที่ House ก่อนหน้านั้น 1 วันอีกด้วย ก็วันที่ผมไปดูหนังเรื่อง Frozen รอบ หกโมงเย็น หนังจบก็ทุ่มกว่าๆ ออกมาหน้าโรง กำลังจะเข้าห้องน้ำ ไปฉี่ ก็มีคนเรียก ก็พยายามมองว่า ใครวะ มาเรียกเรา พอเดินใกล้ๆ อ้าว คู่หู คู่ฮา เจ้าป้าเทพดราม่า กับหนุ่มปิงปิง นี่

......................การที่คนเราจะได้เจอกันนั้น จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้มาคุยกัน ได้สนิทสนมกัน ได้พบปะกัน มันคงเป็นเพราะชาติก่อนเราคงเคยทำบุญมาด้วยกัน ( หรือเปล่า ? ) ผมเคยคิดนะครับว่า ชาตินี้รู้จักคนมาก็เยอะ มีเพื่อนมาก็มาก แต่มีแค่ประมาณไม่ถึงครึ่งมั้ง จากที่รู้จักกันทั้งหมด ที่ได้มีโอกาสเจอกันตัวเป็นๆ บางคนเกือบจะได้เจอกัน แต่ก็คลาดกันไปคลาดกันมา บางคนอยู่กันไกลคนละขอบฟ้า แต่ก็ยังมีโอกาสมาได้เจอกัน แม้บางรายจะได้เจอกันแค่หนเดียว แต่ก็ยังดีกว่าชาตินี้เราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย มิใช่หรือ ? แน่นอนว่าสำหรับผม ก็ขอเจอกับเพื่อนที่ ศีลเสมอกัน คงจะดีกว่า ต้องไปเกลือกกลั้วกับพวก สัตว์ เดรัจฉาน เหมือนอย่างบางเวปที่มันจัดมีตติ้ง โอ้โฮ สัตว์เลื้อยคลานงี้ยั้วเยี้ยเลย เคยได้ยินว่า น้อง dfh เคาเคยไปสัมผัสสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นด้วย เออ นึกขึ้นได้ว่ายังไม่เคยขอดูภาพมีตติ้งรวมสัตว์ เลย บางอารมณ์ ก็เกิดอยากดูภาพสัตว์แปลกๆเหมือนกันแฮะ 5555 สัตว์เดรัจฉานบางตัว อย่างพวก ปลาวาฬภูเขาเนี่ย ไม่รู้ว่า หน้าตาจะเหียก ขนาดใหนน้อ ??

http://www.pandagroup.pantown.com/

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

~ หยุดงานติดกัน 2 วัน ทำให้พาลรู้สึกขี้เกียจจังเลยแฮะ ~

....................ศุกร์ เสาร์ ที่ผ่านมา ปฏิบัติแต่ภารกิจสำหรับครอบครัวครับ เริ่มต้นจากพาคุณนายไปส่งของให้กับลูกค้า ก็เพื่อนในเวปนั่นแหละครับ ช่วงนี้ออเดอร์เยอะ ก็ดีครับเป็นรายได้เสริมให้กับคุณนายดีกว่าหารายได้อีกแบบ ( อิอิ ) แล้วก็พาไปส่งซื้อของที่พาหุรัด อากาศร้อนมากๆๆ ตอนเย็นก็พาคุณหนู Movie ไปว่ายน้ำ ก็คุณนายมูวี่ เธอชอบเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ พอรู้ว่าจะได้ว่ายน้ำ ก็มาออดอ้อนให้พาไปสระว่ายน้ำ จะไปว่ายน้ำท่าเดียว แถมไปทีไม่ค่อยจะขึ้นนะครับ ก็เลยต้องพาไปส่งว่ายน้ำทั้งสองวัน ไปทีก็ต้องไปลงด้วย เสียค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จ รวมค่าสระค่าหนม ค่ากิน หนนึงก็ร่วมๆ 150 บาท แพงเกือบๆเท่าไปดูหนังสองคนเชียวล่ะครับ ?

....................พูดถึงการว่ายน้ำของหนู Movie ช่วงนี้ก็รู้สึกมูวี่จะว่ายน้ำได้แข็งขึ้น เริ่มออกไปว่ายน้ำสระลึกได้แล้ว โดดน้ำพุ่งตัวแล้วว่ายน้ำป๋อมแป๋มมาหาเราได้ ระยะทางประมาณสัก 3 - 4 เมตร คอยประคองพอไหว คิดว่าอีกหน่อยคงได้เรียนว่ายน้ำเป็นการเป็นงาน อยากให้มูวี่ว่ายน้ำแข็งๆเหมือนกัน ก็แกออกจะชอบว่ายน้ำซะขนาดนั้น ? มูวี่ชอบดำน้ำด้วย ถ้ามีครูสอนวิธีการลอยตัวให้ก็คงจะสนุก จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะจมน้ำ ตอนนี้ก็พยายามสอนให้ลอยตัว แต่ยังไม่สำเร็จเท่าไหร่ ประสาเด็กน่ะครับ ยังเกร็งๆ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ แต่คิดว่าเค้าพยายามจะทำตัวให้ลอยในน้ำได้อยู่เหมือนกันน่ะ แล้วที่ดีอีกอย่าง มูวี่พูดง่าย ฝึกง่าย ไม่ค่อยเกเร ปล่อยให้ละสายตาช่วงสั้นๆได้

....................ส่วนรถ ก็หลังจากเอาไปตรวจเช็คที่อู่ ก็ได้ความว่า น่าจะเป็นปัญหามาจากการติดแก๊ซ ทำให้วาล์ว และเครืองยนต์ทำงานหนัก ก็เลยเกิดอาการอย่างที่เห็น มันยังไม่ร้ายแรงก็คงต้องทนๆกันไป สลับน้ำมันวิ่งก็แพงเหลือใจ ช่างเค้าเอาออโต้ลูป เข้าไปหล่อลื่นเครื่องยนต์ เล่นเอาควันโขมงเลย คิดว่าก็ช่วยได้ขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะสตาร์ทง่ายขึ้นกว่าเดิมนิดนึง แล้วก็ไม่มีปัญหาเครื่องดับอย่างที่ผ่านมา เด๋วเดือนหน้าต้องออกเดินทางไปเชียงรายด้วย ถ้ารถมีปัญหากลางทางคงจะดูไม่จืด แต่คิดว่าน้องโซลูน่าที่อยู่กันมานานคงจะไม่เกเรหรอกมั้งครับ นอกจากนั้นข่าวร้ายประจำวันก็คือ ท่อน้ำห้องน้ำข้างบนรู้สึกจะรั่วซึม ส่งผลให้น้ำรั่วจากฝ้าเพดาน คงได้เสียตังอีก

....................ช่วงนี้ถ้าอยากจะหยุดงาน ถือว่าไม่เสียหายเท่าไหร่ เพราะลูกค้าค่อนข้างน้อย ทัวร์หายหมด ก็อย่างที่รู้ๆเรื่องสถานการณ์การชุมนุม จะมีก็แต่ลูกค้าคนไทย ส่วนต่างชาติก็ค่อนข้างบางตา ถามว่าขายได้ใหม ? จริงๆก็ขายได้อยู่นะครับ แต่ไม่เนื้อๆเน้นๆเหมือนช่วงปกติครับ ถ้าไปทำงานก็คงดีกว่าอยู่บ้านอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงกับว่ามาทำงานแล้วต้องอิจฉาน้องๆ เพราะถึงไงเดือนนี้น้องๆคงไล่ทันเรายาก ~ ดีหน่อยช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังเด็ดๆที่พลาดชมไม่ได้ แต่จริงๆ ก็มีหนังที่เราอยากดูอยู่เหมือนกัน อย่าง Chloe หรือ Frozen เรื่องหลังนี่ตั้งใจจะไปดูที่เฮ๊าส์ให้ได้ รอบฉายก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าพลาดอีกในสัปดาห์นี้ สงสัยคงต้องรอดูแผ่นเป็นแน่แท้ ??

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

~ บังเอิญ รักไม่สิ้นสุด ..... มันจะบังเอิญอะไรมากมายขนาดนั้น ? ~

บังเอิญ รักไม่สิ้นสุด ( สองดาว )

.......................Turn Left Turn Right เวอร์ชั่นไทยมาแล้วจ๊า ? หนังรักโรแมนติกที่ว่าด้วยความบังเอิญ หรือจะเป็นพรหมลิขิต ของหนุ่มสาวคู่นึง ซึ่งเคยเจอกันตั้งแต่ ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย มาเจอกันต่อที่ บูดาเปสท์ ประเทศฮังการี ไม่แค่นั้นกลับมาเจอกันที่กรุงเทพ ไปใหนก็เจอกันตลอดทั้งๆที่ไม่ได้นัดหมาย แถมยังไปเจอกันต่อที่ประเทศเกาหลี แล้วก็ยังแถวๆเยอรมันอีก โอ๊ย อะไรมันจะบังเอิญเว่อร์ได้มากมายขนาดนั้นคะ คุณอุดมขา ? 2 - 3 ครั้งก็ยังพอว่า แต่นี่มันปาเข้าไป 6 - 7 ครั้งเลยมั้ง กับคนสองคนที่ไม่ได้นัดกันมาก่อน บนโลกกว้างๆใบนี้ อะไรมันจะโลกกลมบังเอิญได้พอดิบพอดีขนาดนั้นกันล่ะครับ ? ไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นไม่ได้นะ แต่มันมีโอกาสประมาณไม่ถึง 1 ในล้านล้าน เลยมั้งครับ !! ขนาดว่า Turn Left สร้างมาจากหนังการ์ตูน ค่อนข้างมีโอกาสเว่อร์ได้มากกว่า ผมยังรู้สึกว่ามันมีความสมจริงมากกว่าเลย หรือแม้แต่ เถียนมีมี่ ซึ่งเป็นหนังรักที่ว่าด้วยความบังเอิญคล้ายๆกัน ก็ยังไม่เล่นเลยเถิดกับคนดูมากขนาดนี้ ~

.......................ปกติ จ๋า ณัฐฐาวีรนุช ทองมี มักจะเล่นได้ดีในหนังโรแมนติก คอมเมดี้นะ แต่เรื่องนี้ตกม้าตายสุดๆ บทมันโก๊ะเกินไป แล้วก็ไม่ขำเลยในคาแรคเตอร์ เล่นยังไงก็ไม่ฮา เคมีคู่พระนาง ระหว่างจ๋า กับ นาวินต้าร์ ก็ยังไม่เข้ากันเท่าไหร่ !! จริงๆหนังไม่ค่อยมีปัญหาในส่วนความโรแมนติกนะครับ เพราะจริงๆหนังเรื่องนี้ถ้าปั้นไปในทางโรแมนติก หนังน่าจะไปได้สวยกว่านี้ เพราะมันมีเงื่อนไขให้เราซึ้งๆ หรืออินได้ไม่ยากตั้งแต่เรื่องย่อแล้ว แต่หนังกลับไปเสียเวลายิงมุขขำๆ ซึ่งขอโทษครับ มีแต่มุขควายๆซะเยอะ ไม่รู้ว่ากล้าใส่เข้ามาได้ไง ? กับมุขฝืดๆๆอีกสารพัด ซึ่งดูยังไงก็ไม่ขำ แต่กลับรู้สึกสมเพชคนคิดมุขแทน !! แล้วเสียดายที่อุตส่าห์ไปถ่ายตั้ง 3 ประเทศ ออสเตรีย ฮังการี เกาหลี แต่กลับหาฉากสวยๆมาได้แค่เนี้ย ฝีมือการกำกับภาพของตากล้อง ยังไม่เจ๋งพอครับ !! ตัวละครข้างเคียงที่ใส่เข้ามา กลับไม่ทำให้เรื่องราวก้าวไปข้างหน้าเท่าที่ควร โดยเฉพาะตัวมะลิ แทบไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของ นาวิน ตาร์เลย ไม่รู้ว่าพี่แกซื่อจริง หรือว่าเบี่ยงเบน ??

.......................ผมสงสัยในรายละเอียดปลีกย่อยที่หนังใส่เข้ามามากมาย คือสงสัยว่า นาวิน ตาร์ ทำงานอะไรกันแน่ ? ตอนแรกบอกบริษัทส่งไปเรียนภาษา ทั้งยังเคยมีประสบการณ์ใช้ชีวิตที่บูดาเปสท์ แล้วยังไปต่อที่ลอนดอน .. แต่พอมาถึงเมืองไทยถึงเห็นว่าไปทำงานบริษัททัวร์ ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่บริษัทที่ส่งไปเรียนรู้งานถึงต่างประเทศ ? หรือตัวนางเอกที่บ้านมีเงิน ( หรือหาทุนได้ไม่ทราบ ) ได้ไปร่ำเรียนอะไรไม่รู้ถึงบูดาเปสท์ แต่พอกลับมากลับหางานไม่ได้เป็นปี ตกต่ำขนาดต้องไปทำงานเป็นสาวขายเสียงเซ๊กโฟน ? เลยเหรอ ? คือจะกะเอาฮาน่ะรู้ แต่ให้มันอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้หน่อยสิโว้ย !! หรือวันดีๆคืนดีทำงานอยู่เมืองไทย แล้วจู่ๆจะได้บินไปเกาหลี เพื่อไปแข่งกินก๋วยเตี๋ยวแบบกะทันหัน ... เกิดมาคุณเคยได้ยินแบบนี้ใหมครับ ตัวแทนกินก๋วยเตี๋ยวเก่งทีมชาติ ไปแข่งถึงต่างประเทศ ?? แล้วปกติโก๊ะๆแบบนี้วันดีคืนดีจะได้ไปทำทัวร์เมืองนอกหรือครับ แหม๋ พูดเป็นหนังการ์ตูนอีกแล้วนะครับ คุณอุดม ??

.......................บังเอิญ รักไม่สิ้นสุด เป็นหนังรักโรแมนติกที่ทำได้ไม่ถึงสักทาง แม้จะเป็นหนังแนวที่ผมชื่นชอบ แต่ด้วยคุณภาพขนาดนี้ คงจะยกย่องให้กันไม่ไหวอ่ะครับ เพราะมันหาความดีแทบไม่ได้ ไม่ว่าจะในส่วนของการแสดง โปรดักชั่น บทหนัง หรือวิธีการเล่าเรื่อง แมัแต่งานถ่ายภาพ รวมไปถึงดนตรีประกอบ ที่ไม่รู้จะบิ๊วท์อะไรกันมากมาย เพลงประกอบเพราะๆหลายเพลงที่มาอยู่ในหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ช่วยให้หนังดูดีขึ้นมาได้มากนัก !! และการที่นายทุนอนุมัติให้มีการทำหนังรักออกมามากมายในช่วงหลัง ทั้งๆที่เป็นหนังแนวที่ไม่ค่อยได้เงินบ้านเรา ก็ยิ่งจะทำให้หนังแนวนี้ในอนาคต น่าจะถูกให้สร้างน้อยลงมากแน่ๆ เพราะยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า มีโอกาสทางการตลาดน้อย แถมยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของคนดูอีกด้วย ~ จะว่าไปแล้วมันก็ยังไม่ห่วยมากมายนักนะครับ ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ถือเป็นหนังที่พอจะเช่ามานอนดูได้อยู่ครับ แต่อาจจะไม่จบ อย่างไรก็ดี ผมชอบฉากบอกรักทางโทรศัพท์นะครับ แต่ฉากหักมุมช่วงท้ายดูยังไม่ค่อยลงล็อคนัก ~


www.pandagroup.pantown.com

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

~ คนที่ปากบอกว่าตัวเอง เป็นกลางน่ะแหละ " ตัวเหี้ย " ที่สุด ! ~

.......................ความเป็นกลางน่ะมันไม่มีหรอกครับ มีแต่กลางใจใครบางคน หรือบางฝ่ายก็เท่านั้นครับ ! ตอนนี้นะครับ มีแต่ ถ้าไม่แดง ก็เหลือง ถ้าไม่เลือกอเมริกา ก็อยู่ฝ่ายผู้ก่อการร้าย ถ้าไม่เลือกฝั่งสมบูรณ์ ก้อต้องเลือกประชาธิปไตย ? ออกมาเย้วๆข้างถนนแล้วบอกว่าตัวเองไม่มีฝ่าย ไม่มีสี หรือตัวเองเป็นพวกหลากสี แต่เรียกร้องให้ทำตามฝ่ายรัฐบาล อะไรเงี้ย ผมถามคำเดียวครับ ตอนคุณเลือกตั้ง คุณเลือกพรรคใหน ถ้าคุณเลือกพรรคเพื่อไทย ก็รู้แล้วว่าคุณอยู่ฝ่ายใหน ถ้าคุณเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ก็รู้แล้วว่าคุณอยู่ข้างใหน ? ถ้าคุณลงคะแนนเลือกพรรคนึง แล้วคุณจะบอกว่าตัวเองเป็นกลาง ไม่มีสีได้อย่างไรครับ !! ก็บอกออกมาให้มันชัดๆสิครับว่า คุณมันสีเหลือง คุณมันพวกพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายทำอะไรก็ว่ากันไป ไม่ต้องมาพรีเซนต์ว่าตัวเองเป็นกลาง เป็นนกสองหัว เป็นเจ้าไม่มีศาล ทำอย่างกะว่าคนอื่นในประเทศเค้าโง่ตายห่าล่ะะครับ !!

.......................ถ้าความเป็นกลางของคุณหมายถึง ตอนเค้ามีการเลือกตั้ง คุณไม่ลงคะแนนเลือกพรรคใหนเลย หรือคุณไม่ออกไปเลือกตั้ง แล้วคุณออกมาเย้วๆ มาโวยวายให้คนนั้นต้องทำอย่างนั้น คนนี้ต้องทำอย่างนี้ ก็แปลว่าคุณเป็นกลางจริง ที่ไม่เลือกใครเลย แต่ผมก็จะบอกอีกว่า การที่คุณไม่เลือกข้างใหนสักอันเลย ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีนะครับ แต่แปลว่า คุณเป็นคนที่ เหี้ยที่สุด เพราะสิทธิหน้าที่พื้นฐานของประชาชนพลเมือง คุณต้องไปเลือกตั้งผู้แทนของคุณเข้าสภา เพื่อให้ได้ตัวแทนจากเสียงส่วนใหญ่ ถ้าหน้าที่พื้นฐานคุณยังไม่ทำ แล้วคุณจะทำอย่างอื่นได้อย่างไรครับ คุณไม่ต้องมาอ้างเลยครับว่า ไม่มีเวลา หรือไม่รู้จะเลือกใคร คุณก็ต้องไปเลือกคนที่ดี ที่เหมาะสมที่สุดก็เท่านั้นเอง !! แล้วคุณก็ต้องยอมรับเสียงข้างมากด้วย ปัญหามันเกิดในสังคม ก็เพราะไอ้พวกสัตว์สีเหลืองมันไม่ยอมรับเสียงข้างมากของประเทศ ออกมาสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนก่อน มิใช่หรือ ??

.......................สันดานมนุษย์น่ะครับ ไม่มีคนดีที่ใหนหรอกครับ ทำตัวเป็นนกสองหัว เลือกมันทุกฝ่าย ประนีประนอม ยอมกันได้ทุกอย่าง ที่แต่ละชาติเป็นประเทศขึ้นมาได้ ก็เพราะเชื่อมั่นในความเห็นไปในทางเดียวกันทั้งนั้นแหละครับ คนส่วนใหญ่ในประเทศบางประเทศ อาจจะไม่ได้ศึกษาสูงมากนัก แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ด้วยข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ ทำให้เค้าไม่โง่ครับ คุณจะเรียกร้องความสงบ ความสามัคคี ความยุติธรรมได้ไง ในเมื่อพวกคุณปกครองแบบ 2 มาตรฐาน กฏหมายไม่เป็นกฏหมาย ถ้าพวกตัวเองทำผิด ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ถ้าอีกฝ่ายทำผิด คุณเชือดทันที การตัดสินแบบทรามๆเช่นนี้ มีตั้งแต่ระดับสูง ระดับประเทศ ระดับสังคมเล็กๆ ไปจนถึงสังคมในเน็ท สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนอะไรครับ .. มันกำลังสะท้อนว่า มนุษย์ทุกคนกำลังพยายามเอาตัวรอด และรักษาไว้ซึ่งภาพพจน์ที่ดี ว่าตัวเองเป็นผู้มีคุณธรรม ( จอมปลอม ) หลอกตัวเองไปวันๆว่าสังคมเสื่อม คนอื่นเลว แต่ตัวเองดี ... หึ หึ หึ ...ไม่อายคนอื่น ก็หัดอายตัวเองบ้างเหอะ

http://www.pandagroup.pantown.com/

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

o New Moon .... โอ้โฮ Bella มึงนี่แรดจริงๆเลยนะอีดอกกก !! o


New Moon ( ทไวไล๊ท์ นิวมูน ) .... 1 ดาว ....

.......................ตอนอ่านวิจารณ์หนังเรื่องนี้ของน้อง Dfh ในเวปบอร์ด ตอนนั้นอดคิดไม่ได้ว่าคุณน้องแกมีอคติกับหนังแนวรักโรแมนติกหรือเปล่า ? หรือว่าหมั่นไส้แคแรคเตอร์ตัวละครเฉยๆ ก็เลยด่าเป็นวรรคเป็นเวร แต่ที่ใหนได้ พอได้ดูหนังเวอร์ชั่นเต็มๆ สมใจแล้วไซร้ ~ โอ้โฮ คุณหมาป่าแวมไพร์ช่วยด้วย มันสุดห่วยเกินทนจริงๆ พ่ะยะค่ะ !! หนังเรื่องเนี้ยไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นหนังภาคต่อของหนังรักชั้นดีอย่าง Twilight ได้ เพราะมันช่างแตกต่างกันราว ฟ้ากับเหว เลยทีเดียว !! ภาคแรกปูเรื่องราวตัวละครได้ดี สร้างอุปสรรคได้น่าสนใจ แล้วก็เอาสไตล์ของนิยายน้ำเน่าคลาสสิกมาดัดแปลงได้เข้ากับยุคสมัย สร้างอารมณ์พาฝันแก่คนดูได้เป็นอย่างดี แต่ภาคนี้มันอะไร ? หนังเรื่องนี้แทบจะเขียนวิจารณ์ไม่ได้เลยนะครับ เพราะมันไม่มีเนื้อหาอะไรเลยสักนิดเดียว แถมยังยาวยืดเกินเหตุอีกต่างหาก 2 ชั่วโมงกว่า เสียเวลาไปกับฉากบ้าบอคอแตกอะไรไม่รู้ น่าตัดทิ้งได้แยะ

.......................บอกได้เลยครับว่า ประมาณ 60 % หรือท่อนแรกของเรื่องทั้งหมด ไม่ต้องถ่ายใหม่ก็ได้ เหมือนไปก๊อปเหตุการณ์มาจากภาคแรก แล้วมาบอกว่าเป็นภาคต่อ นี่มันหนังโรงหรือหนังซีรี่ย์ทางทีวีครับเนี่ย ? ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นางเอกพระเอกก็พลอดรักกันต่อไป เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว ? ใส่เพลงซาวแทรค ใส่สกอร์เข้าไป บิ๊วท์อารมณ์กันเข้าไป ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรให้บิ๊วท์ !! ภาคแรกคือหนังชวนฝัน แต่ภาคนี้คือหนังที่ นางเอก " เพ้อเจ้อ " เพ้อคร่ำครวญ บ้าบอคอแตกอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว เข้าใจว่าหนังคงสะท้อนอารมณ์ความสับสนในความเป็นวัยรุ่นของเด็กผู้หญิงที่อายุกำลังจะขึ้นวัยทีน .. หนังแบบนี้คงเหมาะแก่เด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 15 ขวบเท่านั้น เพราะถ้าอายุเกิน ก็คงสับสนว่า ชีจะเพ้อครวญอะไรของเธอมากมายได้ขนาดนั้น ?? เมื่อไม่มีอะไรขับเคลื่อนเรื่องราว หนังก็เรื่อยเปื่อย เนิบไปเรื่อยแบบไร้จุดหมาย ทรมานใจคนดูยิ่งนัก ~

.......................พล็อตหนังพยายามโยงเข้ากับเรื่อง Romeo & Juliet แต่อารมณ์มันไม่ได้ และธีมหนังมันไม่ใช่ครับ !! ดูหนังเรื่องนี้แล้วผมกลับคิดถึงวรรณกรรมพื้นบ้านของไทยอย่าง " ขุนช้าง ขุนแผน " ซะมากกว่า แล้ว นัง Bella ก็ไม่ใช่ใครอื่น ใช่แล้วครับ ก็คือนางวันทอง 2 ใจ นางเอกของเรื่องนั่นเอง ? จะแตกต่างกันก็ตรงบทสรุป เพราะว่า ทั้งขุนช้างขุนแผน ก็ดีกับ วันทองทั้งคู่ จนเธอเลือกไม่ได้ว่าจะเอาใคร สุดท้ายเลยโดนประหาร แต่ต่างกันตรง นังเบลล่านี่ สองใจจริงๆตอนที่ผัวไม่อยู่ แต่ถ้าผัวเก่ากลับมา เธอเลือกผัวเก่าแบบไม่ลังเล เฉดหัวคนที่เธอเคยอ่อยไว้ ให้ความหวังไว้สุดๆ ราวกับเค้าไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ !! คืองี้ครับ หนังภาคแรก ก็ปูทางไว้ชัดๆว่า ผู้ชายอีกคน ซึ่งก็คือนายเจค / เจคอบ / มนุษย์หมาป่าเนี่ย ก็หลงรักนางเอกมาแต่ภาคแรกแล้ว แต่นางเอกไม่เล่นด้วย ไปเล่นกับพ่อแวมไพร์ เอดเวิร์ดสุดหล่อ ตัวผอมซีด !! แต่ภาคนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป

.......................ภาคนี้เปิดมาเกือบครึ่งเรื่อง พ่อเอดเวิร์ด แวมไพร์ฟันแล้วทิ้ง ก็จากนางเอกไปแบบไม่ใยดี พอนางเอกเบลล่า เธอไม่มีใคร โอ้โฮ เหงาจับใจ ใครก็ได้เข้ามาเธอเอาหมด !! แม้แต่แก๊งค์มอร์ไซค์แว๊นท์ก็เกือบได้ฟันเธอแล้ว ?? พ่อเจคเข้ามา เธองี้รีบคว้าไว้ แถมประกายตางี้เป็นมันเชียว ก็พ่อเจคเธอหุ่นล่ำบึ๊ก แถมถอดเสื้อเกือบทั้งเรื่อง ( ทำไมวะ ) ไม่รู้นะว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เป็นงี้หรือเปล่า แต่เท่าที่ผมสังเกตุอ่ะ ใช่ว่ะ พอโดนแฟนฟันแล้วทิ้งนะ มักจะทำตัวไร้ราคา ขอแค่มีใครก็ได้เข้ามาจะนอนกับเธอเพื่อแก้เหงา หรือจะทำไรกับเธอก็ได้ เธอยอมหมด !! แต่หนังเรื่องนี้เค้าขายเด็กหญิง ก็เลยตัดฉากพิศวาสออกไปหมด ถ้าขายเด็กโตกว่านี้ คงจะสนุก ~ ทำไมผู้หญิงถึงทำตัวแบบนี้นะไม่เข้าใจ ? คือถ้าคุณไม่รักไม่ชอบเขาจริงๆ ก็ไม่ควรจะไปให้ความหวัง ไปบอกว่ารักเค้าชอบเขา แต่พอตัวจริงกลับมา คุณก็หันหลังให้เขาอย่างไม่ใยดี ไอ้เจคก็ไก่อ่อนเหลือเกิน .. เฮ่อ !!

.......................เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคิดจะจีบสาวแบบเชือดนิ่มนิ่ม กินง่ายๆ ก็ต้องเลือกสาวที่เพิ่งโดนแฟนฟันแล้วทิ้งมา ส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อย มักจะ " เหงา และ ง่าย " จริงๆเรื่องอาจจะจบแบบขุนช้างขุนแผนกว่านี้ ถ้าหากว่า เจคอบ เป็นงาน เห็นถอดเสื้อเกือบทั้งเรื่อง แต่ดันถอดกางเกงไม่เป็นซะงั้น ถ้าหาก น้องเบลล่า เจอของบิ๊กๆพ่อมนุษย์หมาป่าเข้าไปล่ะก็ ...แวมไพร์ก็แวมไพร์เหอะ อาจจะต้องร้องจ๊าก ตกกระป๋องกันได้ง่ายๆ ก็ดูสิ ตัวผอมๆซีดๆขนาดนั้น ของจะเท่าใหร่กันเชียว แต่พ่อเจคอบ แค่หุ่นยังเฟิร์มขนาดนั้น ความล่ำ ความอึด ก็คงไม่ธรรมดาอยู่แล้ว จริงใหมครับ ? แล้วถ้าลิ้มรสทั้งแวมไพร์ทั้งหมาป่าเข้าไปแล้ว ทีนี้ล่ะ เบลล่าก็เบลล่าเหอะ อาจจะเลือกไม่ถูกว่าจะเอาใครดี คงไม่ต่างจาก นางวันทองนั่นแหละครับ ผมไม่ได้บอกว่าวันทองผิดน่ะ เพราะจริงๆทั้งสองเรื่อง ฝ่ายที่ผิดคือฝ่ายชาย ( ทั้งขุนแผนและ เอดเวิร์ดนั่นแหละ เลวพอกัน ) ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ถ้าถามว่าเบลล่าผิดใหม ก็คงแล้วแต่มุมมอง จริงๆแล้วเธอก็ไม่ผิดนั่นแหละแค่หลายใจก็เท่านั้น


www.pandagroup.pantown.com

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

-- เข้าหน้าฝนแล้วมั้งเนี่ย อากาศดีจริงๆเลย --

........ เมื่อวานจริงๆเซฟข้อความเตรียมอัพบล็อค พอกะจะวางข้อความในนี้ปรากฏมันบอกว่า ติดโค๊ด html อะไรไม่รู้ ยังไงๆก็โพสท์ไม่ได้ เล่นเอาเซ็งมากมาย ไม่รู้ว่ามีปัญหาตรงใหน ก็เลยทำอยู่สองสามครั้งก็ไม่ได้ผล สงสัยจะข้อความแรงไปหน่อย ( ไม่น่าจะเกี่ยวเนาะ) จากการทดสอบการใช้บล็อคที่นี่ก็ราบรื่นดี ไม่ค่อยมีเสียงตอบรับเท่าไหร่ แต่ก็มีคนเข้ามาอ่านกันบ้าง เท่าทื่เช็คจากกูเกิล หน้าบล็อคไดอารี่เจ้านี้ของเราก็อยู่ในอันดับต้นๆ แสดงว่าก็คงจะมีแฟนๆตามเข้ามาอ่านอยู่บ้างเหมือนกัน กะว่าจะใช้ที่นี่เป็นที่แบคอัพสำรองเก็บภาพ แล้วก็เขียนไดอารี่แบบโหดๆ ฮาร์ดคอร์ เพราะที่โอเค เนซ่อง มันใช้งานไม่ค่อยได้ เขียนการเมืองก็ไม่ได้ เขียนวิจารณ์หนังแรงๆก็ไม่ได้ บ้าบอคอแตกสิ้นดี ไม่รู้ว่าคนดูแลมันปัญญาอ่อนหรือมันโง่เง่าเป็นควายกันแน่

........ อากาศช่วงนี้ดีนะครับ ฝนตกติดกันสองวันแล้ว บรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย น่าเสียตัวมากมาย น่าไปชุมนุมเย้วๆ สร้างความสนุกสนานด้วย นี่ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองจะจบลงอย่างไร รัฐบาลแมงสาบก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไร หลังจากสั่งฆ่าประชาชนไปเยอะแยะ ที่ตายก็ ยี่สิบกว่าคน แล้วที่ปิดข่าวก็ได้ข่าวว่าอีกจำนวนมาก เผลอๆจะเป็นร้อย ถ้าบุ่มบ่ามสลายม๊อบที่ราชประสงค์แล้วคนตายเป็นร้อย สงสัยจะอยู่ไม่ได้ นี่ก็คงสั่นๆไม่กล้าทำอะไร และถ้าบ้านเมืองยังอึมครึมกันอยู่แบบนี้ ไม่เป็นผลดีด้วยประการทั้งปวง อาจจะทำให้ธุรกิจ และกิจการหลายๆฝ่าย ล่มสลายกันได้ง่ายๆ ก็อยากจะวิงวอนให้รัฐบาล ยุบสภาเหอะครับ อย่าหน้าด้านอยู่ต่อไปอีกเลย อายชาวโลกเขาบ้างเหอะ

ป.ล. ท่านใหนตามมา อยากพูดคุยกันก็คลิกมาเม้นท์ มาคุยกันที่เวปแพนด้าบ้านผมได้นะครับ

http://www.pandagroup.pantown.com/

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

** ประวัติศาสตร์ต้องจารึก คุณอภิสิทธิ คุณคือฆาตกร ***

...................10 เมษายน วันนี้คืออีกวันที่ประเทศชาติจะต้องจารึกในความวิปโยค การสูญเสีย และคงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย บางทีการนองเลือดครั้งใหญ่ของชาว " ไพร่ " กำลังจะตามมาในเร็ววัน ในเมื่อรัฐบาลสั่งให้ใช้ความรุนแรงกับประชาชน อาวุธเบาและหนัก ถูกสรรหามาเต็มที่ กระสุนยาง กระสุนจริง รัฐบาลบอกว่า อนุญาติให้ใช้ยิงขึ้นฟ้าขู่ และยิงใส่ประชาชนได้ ถ้าเพื่อเป็นการป้องกันตัว ก็ไม่รู้ว่าป้องกันตัวกันอย่างไร ตายกันเป็นสิบกว่าศพแล้ว กระสุนเข้าหน้าอก โดนของแข็งฟาดหัวกันบ้าง แม้แต่ผู้สื่อข่าวต่างชาติที่รอดมาแล้วหลายสมรภูมิ ยังต้องมาตายในดินแดนสยามเมืองยิ้ม

...................ขณะนี้ข่าวสารต่างๆในบ้านเมือง ล้วนถูกบิดเบือน และให้ภาพเชิงบวก สร้างความชอบธรรมกันแต่ฝ่ายเดียว ในขณะที่ฝ่ายกลุ่มชนคนเสื้อแดง โดนปิดกั้นทุกรูปแบบแทบสื่อสารกับโลกภายนอกไม่ได้ ทีวีเคเบิลก็โดนปิด ข่าวสารต่างๆโดนจำกัด และสร้างภาพลักษณ์ให้กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของประชาชน ก็อยู่ที่ว่าประชาชนที่เสพข่าวสารจะเลือกเชื่อกันมากน้อยแค่ใหน เสียดายที่เมืองไทยไม่มีสื่อทีวีที่เป็นกลางอย่างแท้จริง เพื่อจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับประชาชน ทำไมสื่อต่างๆถึงกลายเป็นเครื่องมือของรัฐไปซะหมดนะ แล้วมันจะมีหลายช่องไปทำไมกัน ?

...................น่าแปลกที่ผู้นำรัฐบาลที่บอกว่า ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ... กลับหวงเก้าอี้อย่างเหนียวแน่น กลับยึดติดกับอำนาจ กับเก้าอี้และผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าพี่น้องประชาชนจะต้องเสียชีวิต หรือเกิดเหตุการณ์รุนแรงขนาดใหน ? ถ้าเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย แบบรัฐสภา ทำไมท่านไม่สละเก้าอี้ซะ หรือยุบสภา เพื่อความสง่างาม คืนอำนาจให้กลับประชาชน เพื่อมาตัดสินกันอีกครั้งแบบตรงๆไปเลยว่าประชาชนต้องการอย่างไร อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างใด แล้วก็ให้นักการเมืองออกมาพูดกันให้ชัดเจนไปเลยว่า ถ้าชนะเลือกตั้งเข้ามาได้ แล้วยังมีม๊อบอีก จะจัดการอย่างไร ทำให้บ้านเมืองสงบได้ใหม

...................สงครามครั้งนี้คงไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้าย ตราบใดที่เมืองไทยยังเต็มไปด้วยระบอบศักดินา ความแตกต่างทางชนชั้น และการเหยียดหยามซึ่งกันและกัน !! การแตกแยกทางความคิด ทางสังคม มันรุนแรงเกินขีดขั้นที่จะเยียวยาได้แล้ว ความสามัคคี ความสงบ จะมาได้อย่างไร ในเมื่อบ้านเมืองมันไม่มีความยุติธรรม เต็มไปด้วยการสองมาตรฐาน คนนึงทำแบบเดียวกันผิด อีกคนทำเหมือนกันแต่ไม่ผิด มันจะอยู่กันอย่างสงบได้อย่างไรครับ ? มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ไม่ชอบเห็นความอยุติธรรม ไม่ชอบเห็นคนผิดลอยนวล ใช้อำนาจบาตรใหญ่ปกครองประชาชนกันอยู่แล้ว ถึงคุณจะปิดข่าวยังไง มันก็ไม่มิดหรอกครับ เช่นเดียวกับความชั่วของแต่ละคน จะปกปิดได้ขนาดใหน ตัวเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ มือที่มันเปื้อนเลือดนะครับ ล้างยังไงมันไม่มีวันล้างออกหรอกครับ !!

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

[[ แนน - ขอโทษน๊ะ และ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ]]

......................เมื่อวานซืนแวะไปเคลียร์ข้าวของ และคุยเรื่องบ้านบางบัวทอง กับลุงไฝ ลุงยามที่ช่วยดูแลหมาที่บ้านให้ รวมถึงช่วยดูแลบ้านที่บางบัวทองให้ เนื่องจากก่อนหน้านี้คนที่ดูแลหมาและบ้านบางบัวทองก็คือ แนน แต่หลังจากที่เธอตกงาน แล้วก็คงจะหมดหนทางไป และก็คงที่ผมพูดไว้เมื่อสักเดือนก่อนด้วยมั้งว่า ถ้าไม่ไหวจริงๆก็กลับไปอยู่บ้านสิ เด๋วไอ้หมาขาวน่ะ ผมเอาไปอยู่เอง ( เพราะตอนนี้หมาก็มีเหลืออยู่แค่ตัวเดียว ) หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ เห็นแนนโทรมาบอกน้องที่ทำงานผมมั้งเมื่อสักหลายวันก่อนว่า จะกลับบ้านแล้ว ให้ไปเอาหมาด้วย ก็ยังนึกว่ารอเข้าไปคุยกันก่อน แล้วตกลงว่าจะไปวันใหน ? ปรากฏว่า คนที่โทรมาบอกผมเรื่องแนนไปแล้ว ก็คือ " ลุงไฝ " อดีตยามในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นคนคุ้นเคยกัน เพราะแกใจดีกับน้องหมาที่บ้านเสมอ

......................ลุงไฝโทรมาบอกในคืนวันนึงว่า " นี่ แนนเค้าไปแล้วนะ ยังไงช่วยแวะเข้ามาคุยกันหน่อยว่าจะเอายังไง กุญแจบ้านอยู่ที่ลุง " ก็เลยรับปากไว้ว่าจะเข้าไปคุย แต่ก็เพิ่งได้เข้าไปคุยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้เองครับ ไปถึงก็ตรงไปแวะบ้านลุงไฝก่อน แล้วก็ค่อยๆมาคุยกันต่อที่บ้าน ก็ได้คุยกันในหลายๆรายละเอียดเรื่องบ้าน คือผมยังไม่อยากเอาไอ้ขาวไปอยู่ด้วย เพราะบ้านที่อยู่เป็นทาวน์เฮ๊าส์ ค่อนข้างลำบากในเรื่องเลี้ยงหมา ก็คงจะต้องเอาไว้ที่บางบัวทองไปก่อน ให้ไอ้ขาวมันอยู่คนเดียว ขาวเป็นหมาดุ ชอบอิสระ เสียดายอย่างเดียวก็คือ ถ้าปล่อยมันโดยไม่ใส่ที่ครอบปากก็ไม่ได้ มันชอบไปกัดคน จะปล่อยไว้ในบ้านอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันมุดรั้วบ้านออกไปได้ คุยกันเรื่องว่าจะทำยังไงดีให้มันอยู่เสรีในบ้าน จะทำรั้วลวดหนามกันที่รั้วบ้าน ก็บอกลุงใฝว่า เคยทำแล้วเหมือนกันครับ แต่ไอ้ขาวมันยังตะกุยลวดออกไปจนได้ ก็บอกลุงใฝว่า ผมไม่เกี่ยงเรื่องราคาหรอก ถ้าลุงจะทำ แต่คงต้องรบกวนติดต่อให้หน่อยอ่ะครับ จะไปติดต่อเองก็คงไม่สะดวกเลย

......................ช่วงนี้ยังต้องใช้การผูกโซ่มัดไอ้ขาวไว้ มีแค่ตอนค่ำๆที่ลุงใฝจะมาแกะโซ่ขาวออกให้มันออกไปวิ่ง แล้วก็ให้มันกลับเข้ามาบ้านจากนั้นก็จะมัดไว้เหมือนเดิม ปกติชีวิตประจำวันของไอ้ขาวมันก็เป็นแบบนี้ คงจะชินแล้ว เห็นลุงไฝบอกว่าเด๋วนี้ไอ้ขาวก็ไม่ค่อยออกไปนอกบ้านนานนัก เพราะว่ามีคนตี มีคนแกล้งทำร้ายมันเหมือนกัน เด๋วนี้มันแก่แล้วและก็คงจะเริ่มกลัวๆบ้าง ไม่ค่อยจะซ่าส์เหมือนสมัยก่อนนัก ก็อายุมันจะ 10 ปีเข้าไปแล้วนี่นา ยังซ่าส์มุดรั้วบ้านเข้าๆออกๆได้อยู่ก็ถือว่าเก่งแล้ว ต่อจากนี้ก็คงต้องรบกวนช่วยลุงไฝดูแลบ้าน กับไอ้ขาวไปก่อนสักพักนึง จนกว่าจะมีตังพอบูรณะบ้านใหม่ แล้วปล่อยให้เช่าได้ ถึงตอนนั้นก็อาจจะต้องเอาไอ้ขาวมาอยู่ที่บ้านนวนคร แต่ถ้ามีใครจะรับไปเลี้ยงได้ เราก็ยินดี ( แต่คิดว่าคงยากที่จะมีคนรับมันไป ) หลังจากคุยกันหลายๆเรื่องแล้วก็เลยพาลุงไฝเดินชมบ้าน เปิดให้ดูห้องต่างๆก็บอกลุงใฝว่า ถ้าจะใช้บ้านก็ตามสบายนะครับ

......................เป็นเวลาร่วม 4 ปีที่ผมไม่ได้เข้าไปห้องนอนเก่า เพราะปกติแนนเค้าจะล๊อกไว้ ดูสภาพหลายๆอย่างยังคงเดิมเหมือนที่ผมเคยอยู่ไม่มีผิด เห็นหนังสือ เกิดวังปารุสก์ ของป้าจวบ ที่แกถามหาอยู่หลายที ผมก็ว่ามันหายไปใหน เลยหยิบติดมือมาด้วย เผื่อจะเอาไปคืนแก แล้วก็หยิบซีดีเพลงเก่าๆที่เพราะๆติดมือมา 5 - 6 อัน กับกรอบวิทยาศาสตร์ภาพใบปิด ทวิภพที่มีลายเซ็นต์ เอากลับมาแขวนที่บ้าน จริงๆมีหลายอย่างอยากหิ้วมาแต่ยังไม่อยากขน เหนื่อยๆร้อนๆ เดินสำรวจบ้าน เห็นลุงไฝบอกว่า แนนเขาก็ทำความสะอาดอะไรไว้หมด ผ้าม่านก็ซักไว้ให้ บ้านเลยยังดูใหม่ ไม่ได้ทำอะไรทิ้งขว้างไว้ หญ้าอะไรก็ตัด แต่ของใช้ที่ขายๆได้คุณเธอก็ขายทิ้งไปเยอะเหมือนกัน คิดว่าคงเอาไปเป็นตังกลับบ้าน กับเงินติดกระเป๋ามั้ง ก็ไม่ว่ากัน ~ ลุงไฝกระซิบบอกผมว่า แนนเค้าเคยบอกว่า ที่ยอมทนไม่ไปใหนอยู่นานหลายปี ก็เพราะว่ายังรอผมอยู่ เผื่อผมจะกลับมา !!??

......................ฟังแล้วก็สะอึกครับ รู้สึกผิด ปน สงสาร ไม่รู้จะพูดยังไง ? จริงๆแนนเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดน่ะคือผมเองล้วนๆ แต่ทำไงได้ มันตัดสินใจไปแล้ว ก็คงยากที่จะเปลี่ยนใจ ถึงไม่มีใครเข้ามา มันก็ยากที่ผมจะย้อนกลับไปหาเค้า คนมันไม่ได้รักน่ะ อยู่ด้วยความสงสาร อยู่ไปก็ไม่มีความสุขครับ ใครไม่เป็นอย่างผมก็คงไม่เข้าใจ !! อีกอย่างแนนเค้าก็ประสาทอ่อนๆด้วย แถมยังเสียงแข็ง ไม่มีความอ่อนหวาน จริงๆเค้าก็มีความดีอยู่เยอะมากๆๆ แต่คนเราที่จะอยู่กัน ผมว่าคนเราไม่ได้รักจะอยู่กับใครเพราะเค้าเป็น " คนดี "หรอกจริงใหมครับ เราอยู่ก็เพราะ เราอยากอยู่ เรารัก เรารู้สึกดีๆมากกว่า ?? ดูอย่างตอนนี้สิ ทำงานงกๆกลับมาเหนื่อยๆ ยังต้องมานวดให้คุณนาย แล้วใหนจะปัญหาอีกสารพัดสารพันที่ตามมา รายจ่ายมากมาย เรื่องปวดหัวเยอะแยะ แต่เราก็ยังทนอยู่ได้ มันคงเป็นเพราะความรัก ( หรือเปล่าวะ ) คนเรานี่ก็แปลกเนาะ มีหลายๆคนดีกับเรา แต่เรากลับไม่รักเค้า ?? หรือว่าคู่รักๆที่อยู่ๆกันเนี่ย มันเป็นเพราะ " เซ๊กส์ล้วนๆ " กันแน่หว่า ??

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

~ ทานของอร่อยฟรี วันเกิดท่านประธาน ~

.....................นานทีปีหน จะได้มีวาสนาทานของอร่อยๆฟรีที่ทำงาน วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดท่านประธานน่ะครับ พอดีได้รับมอบหมายให้มาช่วยงาน ต้องแต่งชุด ครบรอบ 20 ปี กับกางเกงแสลคสีดำ มาเฝ้าจุดตรงฝั่งออฟฟิศ คอยต้อนรับพระ แล้วก็ดูแลช่วยเหลืออำนวยความสะดวกนั่นแหละครับ เช็คชื่อลงเวลาเรียบร้อยตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง แต่งานก็ยังไม่เริ่มน่ะครับ เลทๆตามประสาสไตล์ไทยๆเช่นเคย ไอ้เราก็เห็นว่ามาแต่เช้า กลัวจะหิว ไม่รู้จะได้ทานข้าวกันตอนใหน ก็เลยแว่บไปทานที่แคนทีนรองท้องเอาไว้ก่อน ซึ่งต้องบอกว่าคิดผิดจริงๆเลย ไม่น่าไปกินเลยพับผ่า เพราะหลังจากนั้น ได้มีโอกาสทานของเยอะแยะไปหมดเลยอ่ะครับ

.....................ทีแรกนึกว่าจะต้องเฝ้าจุดแบบว่าด้านล่าง แต่พอดีว่าโชคดี เค้าเรียกให้ขึ้นไปเฝ้าห้องพระข้างบน คือเดิมทีตามกำหนด เขาจะให้นิมนต์พระขึ้นไปทานของว่างที่ห้องข้างบนชั้น 2 ก่อนจากนั้นพอถึงเวลาก็จะให้ลงมาด้านล่าง ทำพิธี แต่ไปๆมาๆเค้าเปลี่ยนแผน ก็เลยมีพระขึ้นไปทานข้างบนแค่นิดเดียว ที่เหลือก็ ไม่ขึ้นมาเพราะฉะนั้นของพระก็เลยเหลือบานเบอะ สตาฟของพูลแมนเค้าก็น่ารักนะครับ ชวนไปกินของเหลือๆ ซึ่งแบบว่าอร่อยๆทั้งนั้น เหมือนของพระฉันนั่นแหละครับ ของว่าง ของหวาน ขนมครก กาแฟโบราณ ไข่ลวก ขนมต่างๆนานาชนิด ฯลฯ กินกันอิ่มแปร้ จากนั้นก็รอเวลาช่วยงาน ก็ไม่ค่อยมีอะไรทำเท่าไหร่ ก่อนจะลงมาก็ได้ทานบุฟเฟ่ท์อีกต่ะหาก

.....................ช่วยขนของ เก็บของนิดหน่อย แล้วเค้าก็บอกว่าให้ไปทานอาหารอีกรอบเป็นการขอบคุณ ก็ไปทานกันตรงที่จอดรถ ก็ได้กินของอร่อยๆกันอีก โอ้โฮ พุงงี้แทบปลิ้นออกมาเลย ขนาดว่าตอนเช้ากางเกงยังหลวมๆอยู่นะครับ กลับมานี่ฟิตเปรี้ยะไปหมด นี่คงอิ่มไปถึงตอนเย็นกันเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ขายของตอนเช้า แต่ก็คิดว่าคุ้มนะครับ กับนานๆได้ทานของอร่อยระดับโรงแรมสักที อิอิ ได้เห็นการทำงานของพนักงานโรงแรม พูลแมน ในเครือของบริษัทด้วยครับ ระหว่างฆ่าเวลารอก็ได้อ่านข้อมูลจากหนังสือคู่มือประกันสังคม ได้ความรู้ขึ้นอีกมากมาย แล้วก็แว่บๆอะไรๆแถวๆฝั่งออฟฟิศอีกต่างหาก ได้ข้อมูลใหม่ๆมาประดับหัวด้วย เด๋ววันนี้คาดว่าจะกลับบ้านเร็วหน่อย เบื่อๆ ไม่ค่อยอยากขายเท่าไหร่ แต่ก็ไม่แน่ ถ้ามีลูกค้าก็อาจจะทำงานเกินเวลาก็เป็นได้

http://www.pandagroup.pantown.com/



















วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

~~ Movie ไปโรงเรียนแล้ว ~~

......................เผลอแว่บเดียว มูวี่ก็ย่างเข้าสามขวบแล้วแฮะ เร็วจริงๆพับผ่า เมื่อวานก็จัดปาร์ตี้วันเกิดให้มูวี่ที่บ้าน มีเพื่อนบ้านมาร่วมงานกันเยอะพอสมควรเลยครับ มีการทำเหล้าปั่นให้ทานกันด้วย เบียร์สองลังรู้สึกจะทานกันไม่หมดมั้ง มีเด็กๆแวะมาร่วมงานกันเยอะครับ มูวี่ได้ไปโรงเรียนอาทิตย์นึงแล้วครับ วันนี้รู้สึกจะงอแงนิดหน่อยเพราะไม่สบาย แต่วันอื่นๆที่ไปโรงเรียน มูวี่ร่าเริงมากนะครับ ชอบไปโรงเรียน ชอบไปเล่นกับเพื่อนๆ ชอบไปเจอคุณครู ครูบอกว่ามูวี่ซนแล้วก็พูดเก่ง กินนมเก่ง ส่งมูวี่ไปเรียนที่โรงเรียนเสริมมิตร เป็นโรงเรียนสไตล์จีนนิดๆ เอกชนขนาดเล็ก อยู่ในเขตพื้นที่ประตูน้ำพระอินทร์ จ.อยุธยาครับ มูวี่กลายเป็นเด็กนักเรียนบ้านนอกไปซะแล้ว !!

......................การเรียนการสอนของที่นี่ เราไม่มีโอกาสดูเลยแฮะ เพราะส่งเข้าห้องเรียนเขาก็จะปิดห้องเลย ไม่ให้พ่อแม่มายุ่มย่าม เด็กนักเรียนห้องนึงมี 40 คน อนุบาล มีสี่ห้อง ครูห้องละ 4 คน มีครูผู้ชาย 1 ผู้หญิง 3 โรงเรียนนี้มีเรียนถึง ป.6 ท่าทางชั้นหนึ่งก็ไม่น่าจะเยอะเท่าไหร่ ค่าเทอมที่นี่ก็ไม่แพงนัก เมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชนอื่นๆ ฟังจากผู้ปกครองและคนแถวนี้ เค้าก็ว่าการเรียนการสอนที่นี่ถือว่าใช้ได้ครับ ชุดนักเรียนมูวี่จะได้ประมาณเดือนเมษาครับ ช่วงนี้ก็ใส่เอี๊ยม ไปเรียนซัมเมอร์ไปพลางๆก่อน เข้าเรียน 8.30 เลิก 14.30 น. พ่อแม่ที่มารับจะต้องมีบัตรรับลูก มีการตรวจตรากันดีพอสมควรครับ เมื่อวานได้มีโอกาสไปรับมูวี่คนเดียวมาแล้ว

......................ตอนรับลูกเนี่ย เค้าก็จะมีครูมาถามชื่อเด็กหน้าห้อง ตรวจบัตรเสร็จ ก็จะเรียกเด็กที่อยู่ในห้องออกมาทีละคน ทีละคน จะไม่เปิดประตูให้เด็กมาเห็นหน้าผู้ปกครองคนอื่นๆ เห็นวันแรกเจนนี่บอกว่า ตอนที่ไปรับช้าประมาณ 15 นาทีมั้ง เหลือเด็กอยู่สามคน เค้าเปิดประตูห้องแล้ว แอบเห็นมูวี่นั่งหน้าจ๋อยๆรอแม่ พอเห็นแม่โผล่เข้าไปก็ยิ้มเลย สงสัยดีใจ อิอิ เมื่อวานตอนแม่ไปรับ ไม่เห็นพ่อ ก็ถามหาว่า พ่อไปใหน พ่อไม่มาเหรอ เมื่อวานตอนผมไปคนเดียวก็มองหาแม่เหมือนกันว่า แม่ไปใหน ไม่อยู่ใหน เด๋วนี้นับวันมูวี่ยิ่งพูดเก่งขึ้นทุกวันๆ ซน ชอบเล่น เมื่อวานได้ของขวัญวันเกิดเป็นจักรยาน ยังขี่ไม่เป็น ก็พยายามจะขี่ เล่นเอาหน้าทิ่มออกมาหน้าบ้านไปสองรอบ

http://www.pandagroup.pantown.com/