วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

20 th Century Boy 3 .... ไตรภาคดวงตาวิบัติถล่มโลก ในที่สุดก็จบซักที ?

20 th Century Boy 3 ( มหาสงครามวิบัติ ดวงตาถล่มโลก ) .... 2 ดาวครึ่ง ....

........................โคตรโหดครับ บอกได้คำเดียว เพราะหนังฟอร์มยักษ์ แอคชั่นไซไฟ ไตรภาคที่สร้างจากการ์ตูนดังที่ผมเกิดไม่ทันเรื่องนี้ ( หมายถึงมันถูกเขียนขึ้นในยุคหลัง จากที่ผมเลิกอ่านการ์ตูนไปแล้ว ) มันแบบว่า " มหากาพย์ " มากๆๆ คือเป็นหนังทุนสูงที่มีเรื่องราวเยอะ แล้วก็หั่นให้มันเหลือสั้นๆไม่ได้ ตรงนี้ผิดกับหนังอย่าง Lord of the Rings ที่ผมมองว่า เนื้อหาน่าจะหั่นได้ให้สั้นลง แต่เรื่องนี้เท่าที่มองๆดู หั่นยากครับ มันก็เลยถูกสร้างออกมาเป็น หนัง 3 ภาค ซึ่งแต่ละภาค ก็ยาวๆในตัวกันทั้งนั้น อย่างภาคสุดท้ายนี้ ปาเข้าไปเกือบ 3 ชั่วโมงนะครับ แม่เจ้า ตอนที่ผมเริ่มเปิดดูก็รู้สึกเพลียๆ เมื่อยล้ามากๆอยากหลับ แต่ก็ต้องทนดูตั้งแต่ สามทุ่มนิดๆ ไปจบเอาตอนเที่ยงคืน ทั้งๆที่คิดว่าหนังน่าจะจบสัก 5 ทุ่ม เพราะไม่คิดว่าหนังจะยาวเกินมาตรฐาน !!

........................ภาคสุดท้ายนี่กินเวลาข้ามไปในยุคอนาคต เหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 20 ปี เป็นรุ่นลูกๆของตัวละครเอกกันแล้ว แต่ทีมตัวเอกก็ยังไม่ตายกันนะ เล่นกันตั้งแต่เด็กจนแก่เชียวล่ะ หนังหาเหตุผลของเรื่องราวทั้งหมด ไปสู่บทเฉลยได้อย่างมีเหตุผลพอประมาณครับ แม้เหตุการณ์รายล้อมหลายอย่างยังยากที่จะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆได้ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ นี่มันการ์ตูนนี่นา จริงๆหนังมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ดูเข้าท่านะครับ เพียงแต่วิธีการที่หนังเลือกมา กลับทำให้มันดูน่าขบขัน เพราะหนังไม่เน้นความสมจริง แต่เน้นให้มันแหวกจนดูหลุดโลกมากๆ เช่นคอสตูมของฝ่ายกองทัพเพื่อน ? น่าตลกที่ ขบวนการเพื่อน ก่อการวุ่นวายจนโลกกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ขบวนการต่อต้านเพื่อน ถึงได้มีกำลังแค่หยิบมือนึง แล้วขบวนการที่อยู่ต่างประเทศล่ะ ไม่มีใครทำอะไรเลยเหรอ งอมืองอเท้า แล้วเพื่อนจะบงการควบคุมโลก ควบคุมประเทศอื่นๆอย่างไร ไม่เห็นบอก

........................ดูเหมือนหนังจะพยายามขายเพลง และความหมายของบทเพลงที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้คน แต่ประเด็นนี้ดูเหมือนเลื่อนลอยเอามากๆ เพราะผมไม่เชื่อเลยว่า เพลง กูตาลาลา บ้าบออะไรเนี่ย จะทำให้ประชาชนที่ใหนมีอารมณ์ร่วม ในช่วงเวลาของความเสื่อมสลายแบบนั้น บทเพลงเพลงเดียว จะมีอิทธิพลต่อจิตใจผู้คนได้จริงหรือ ? ถ้าบอกว่า ตำราศาสนา มีอิทธิพลต่อจิตใจผู้คนอย่างหนังเรื่อง Book of Eli ยังดูจะน่าเชื่อกว่า ? จุดหนึ่งที่หนังนำเสนอได้น่าคิดก็คือ คนๆหนึ่งที่อาศัยเล่ห์กล หรือมอมเมาให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความเชื่อ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาได้เนี่ย สามารถทำร้ายและทำลายโลกและมนุษย์ชาติได้รุนแรงขนาดใหน ? อาจจะดูเหมือนเว่อร์ แต่โลกนี้ก็ยังเคยมีคนอย่าง " ฮิตเล่อร์ " หรือแม้แต่ไอ้พวกปลุกม๊อบอย่าง ไอ้สัตว์ สนธิ ไอ้สัตว์จำลอง และอีกหลายตัวที่อาศัยความโง่ของผู้คน สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองอยู่เรื่อยๆ

........................ตัดเรื่องเทคนิคพิเศษออกไป ตัดความเป็นแอคชั่นไซไฟออกไป บทเฉลยของหนังเรื่องนี้มันอยู่ตอนท้าย ซึ่งถือว่าเป็นการคลี่คลายปมที่น่าตกใจพอสมควร มันเป็นอะไรที่ดราม่ามากๆๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความวิกลจริต ของคนๆนึงที่ส่งผลให้คนทั้งโลกต้องล้มตายไปหลายพันล้านคน เกิดมาจากเหตุการณ์เล็กๆที่ใครต่างนึกไม่ถึง การตกเป็นเหยื่อถูกทำร้าย ถูกกลั่นแกล้งของสังคม ทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างวิกลจริต !! ทำให้เด็กบางคนถึงกับต้องคิดสั้น ฆ่าตัวตาย !! โลกเรามันก็โหดร้ายแบบนี้แหละครับ ดีแต่โทษกันไป โทษกันมา แต่จะมีสักกี่คนที่กล้ายอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ไอ้ชั่วหลายคนบนโลกใบนี้ ก็ชอบซะเหลือเกินที่จะให้คนอื่นมาขอโทษตัวเอง หรือขอโทษคนอื่น ทั้งๆที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า สิ่งที่ตัวเองทำมันก็ไม่ได้ดีเด่กว่าคนอื่นเขา ? " เพื่อน " ก็ไม่ต่างจากพวกที่ใช้นามแฝง แอบอยู่ตามซอกหลืบของโลกไซเบอร์เพราะแอบด่าทอกันมันง่ายกว่า การถอดหน้ากาก เข้ามาพูดคุยกันดีๆแบบผม จริงใหมล่ะ ไอ้หน้าตัวเมีย

www.pandagroup.pantown.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น